รีวิว GPX Razer 220 เน็คเก็ทไบค์ที่รอคอย กับการปรับปรุงที่ดีขึ้นอีกขั้นจากแบรนด์ไทย

GPX Razer 220 คือรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ท-แน็คเก็ทไบค์น้องใหม่ที่เผยโฉมออกมาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017 โดยชูจุดเด่นคือมาเครื่องยนต์ใหญ่สุดของค่ายขณะนั้นในระดับ 223cc และใช้ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีดเป็นรุ่นแรกของทางค่าย แต่กวาจะเปิดตัวและพร้อมขายจริงๆก็คือช่วงปลายปี ในงาน Motor Expo 2018 [TIME2018] ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนี้ทางทีมงาน MotoRival เราจะขอมา รีวิว GPX Razer 220 มันจะมีรายละเอียดรวมถึงฟีลลิ่งการใช้งานจริงเป็นอย่างไรบ้าง เรามาว่ากันเลยดีกว่าครับ

เริ่มจากดีไซน์ภายนอกที่หากให้นิยามสั้นๆก็คงต้องบอกว่ามันเหมือนกับ Demon 150 GN ที่ขยายร่างขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ ขนาดตัวรถดูสมส่วนมากขึ้นและเส้นสายโดยรวมก็ดูสวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแผงแฟริงด้านข้างที่รับกับเส้นกรอบของไฟหน้าเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการเสริมอกล่างขนาดใหญ่ไว้ที่ท้องเครื่อง ทำให้รถดูบึกบึนและแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตัวโคมไฟหน้าภายในเป็นแบบ LED ให้ความสว่างในการใช้งานยามค่ำคืนในระดับที่น่าพอใจ และมี DRL ด้านใน ดูสวยงาม ขณะที่ไฟเลี้ยวหน้า/หลังเป็นแบบ LED เช่นกัน

ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED เช่นกัน แต่แบ่งโคมแยกซ้ายขวา โดยสำหรับไฟตอนขี่ปกติ(ไม่ได้เบรก) ตัวแถบไฟด้านล่างจะสว่างค้างไว้ แต่ถ้ากำเบรกหรือเหยียบเบรกเมื่อไหร่ ตัวหลอด LED 3 ดวงด้านในโคมไฟแต่ละฝั่งจะสว่างขึ้นมา นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าตัวขาติดแผ่นป้ายทะเบียนนั้น ทาง GPX ได้ออกแบบมาให้ลูกค้าสามารถถอดออกทำท้ายสั้นได้ง่ายๆ ถือว่าคิดเผื่อลูกค้าที่ชอบตกแต่งมาอย่างดีจริงๆ ขณะที่มือจับกันตกด้านท้ายก็เป็นแบบเขาด้วงแยกซ้ายขวาชัดเจน

นอกจากนี้ ทาง GPX ยังเสริมลูกเล่นอีกเล็กน้อยคือมีการฝังแถบ DRL สีขาวไว้ด้านข้างแฟริ่งทั้งฝั่งซ้าย และฝั่งขวา ซึ่งตอนกลางวันอาจจะไม่ทันได้สังเกตเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นกลางคืน มันจะทำให้ตัวรถดูโดดเด่นสะดุดตามากเลยทีเดียว

ขยับมาที่เรือนไมล์ จะเห็นได้ว่าเจ้า GPX Razer คันนี้ ยังคงใช้เรือนไมล์แบบที่เราคุ้นชินกันดีใน Demon 150 GR และ GN นั่นก็คือแบบฟูลดิจิตอลที่แสดงผลในส่วนของวัดรอบเป็นแถบวิ่งด้านบน โดยมีเรดไลน์สูงสุดที่ 11,000 รอบ/นาที (แต่จริงๆรอบตัดที่ 10,000 รอบ/นาที), ความเร็ว, ระดับเกียร์, ระยะทาง, ทริป, เวลา, และระดับน้ำมัน มาพร้อมกับฟังก์ชันเสริมปรับแสงไฟหน้าจอได้ 3 เฉด ได้แก่ แดง, เหลือง(ส้ม), และ ฟ้า ส่วนไฟสัญลักษณ์ต่างๆ จำพวก ไฟสูง, ไฟเลี้ยว, ไฟเครื่องยนต์, และความร้อน จะฝังอยู่ที่กรอบด้านข้างของตัวเรือนไมล์

ถังน้ำมันขนาด 11.5 ลิตรดีไซน์ครอบถังให้เป็นสันโหนกด้านซ้าย/ด้านขวา แหลมออกมาชัดเจน ช่วยให้ตัวรถดูปราดเปรียว แต่ในขณะเดียวกันตัวผู้ทดสอบก็สามารถใช้ขาโอบหรือหรีบได้ค่อนข้างกระชับ ไม่ติดขัดแต่อย่างใด

ขณะที่ฝาถังน้ำมันเป็นแบบบานพับที่ดีไซน์มาสวยงามเหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์จากค่ายยุโรปอยู่ไม่น้อย

เบาะนั่งผู้ขี่ เคลมตัวเลขความสูงไว้ที่ 800 มิลลเมตร มีขนาดใหญ่เต็มก้น สามารถนั่งได้สบายไม่เมื่อยเมื่อต้องขี่เป็นเวลานานๆ รวมถึงเบาะผู้ซ้อนเองก็มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยเป็นมาใน GPX รุ่นก่อนๆ ส่วนผิวสัมผัสของตัวหนังหุ้มเบาะที่เป็นแบบด้านเอง ก็ให้ความรู้สึกหนืดยึดกับขากางเกงได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวก้นไหลตอนเบรกหนักๆ หรือเร่งแรงๆ

มิติตัวรถ กว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่ 800 x 1,945x 1,095 ในหน่วยมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าไม่หนาเท่าไหร่นัก อยู่ในระดับที่สามารถมุดช่องจราจรตามรถแม่บ้านไปได้สบายๆ

อย่างไรก็ดี สำหรับความกว้างของกระจกมองข้างนั้นดูจะเยอะไปสักนิด แถมระดับความสูงยังอยู่ในระดับที่พอดีกับรถกระบะยกสูง และรถ PPV ซึ่งถือเป็นประชากรยานพาหนะส่วนใหญ่บนถนนไทย ทำให้เมื่อขี่ๆไปแล้วเจอรถยนต์หลังนี้อยู่ข้างหน้า ผู้ขี่อาจจะต้องชะลอรถลง และกะจังหวะมุดดีๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะเกิดเหตุการณ์ “กระจกข้าง ชน กระจกข้าง” ได้ง่ายๆ

ระยะฐานล้ออยู่ที่ 1,332 มิลลิเมตร ส่วนระยะวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 2,500 มิลลิเมตร ไม่แคบหรือกว้างจนเกินไป สำหรับรถมอเตอร์ไซค์พิกัดนี้

ท่านั่งโดยรวมด้วยความที่เป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวแน็กเก็ทไบค์ แถมยังมีขนาดตัวที่กำลังพอเหมาะพอดี ทำให้ผู้ทดสอบสามารถควบคุมตัวรถได้อย่างคล่องตัวมาก ไม่รู้สึกติดขัดใดๆในการพลิกรถ ไปมาด้วยแฮนด์บาร์ที่มีความกว้างและความสูงกำลังดี แม้แต่ตัวถังน้ำมันกับช่วงคอดของเบาะนั่งเองก็ถือว่าเหมาะเจาะสามารถหนีบได้ค่อนข้างกระชับ ไม่รู้สึกว่าบางหรือหนาจนเกินไป ทว่าด้วยความสูงเบาะที่สูง 800 มิลลเมตร จึงอาจจะทำให้ขาของผู้ขี่ที่สูงน้อยกว่า 170 เซนติเมตรรู้สึกเขย่งๆไปบ้าง แต่โชคยังดีที่ตัวรถหนักเพียง 150 กิโลกรัมเท่านั้น จึงทำให้ไม่ต้องหวั่นอะไรมากมายนักถ้าต้องใช้ขาข้างใดข้างหนึ่งรับน้ำหนักรถตอนจอด

ขณะเดียวกันสำหรับตำแหน่งเบาะผู้ซ้อนเอง ด้วยความที่ทาง GPX ต้องแบ่งเบาะตรงนี้เป็นสองส่วน และยกขึ้นเพื่อให้ตรงตามคอนเซปท์ความเป็นสปอร์ต-แน็คเก็ท ดังนั้นเมื่อผู้ซ้อนลองขึ้นนั่งแล้ว จะเห็นได้ว่าศรีษะดูสูงขึ้นไปอีกพอสมควรเมื่อเทียบกับผู้ขี่ ทั้งๆที่ตัวผู้ซ้อนไม่ได้สูงเท่าไหร่นัก

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบ อัพไซด์ดาวน์ หลังแบบโมโนช็อคปรับพรีโหลดได้ 3 ระดับจาก YSS ซึ่งเซ็ทติ้งโดยรวมในจุดนนี้ ถือว่าซับแรงได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับ GPX รุ่นอื่นๆ ทำให้ผู้สามารถเหวี่ยงตัวรถเข้าโค้งแรงๆได้ค่อนข้างมั่นใจ

ทว่าในส่วนของยางติดล้อแม็กขอบ 17 นิ้ว ด้านหน้าขนาด 100/80-17 กับด้านหลัง ขนาด 130/70-17 ที่ให้ออกโรงงานเท่านั้นที่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นัก (ด้วยชื่อเสียงของยางรุ่นนี้ และผู้เขียนเจอมากับตัว) ดังนั้นถ้าได้มาแล้วมีงบก็ควรจับเปลี่ยนยางก่อนเป็นอย่างแรก

ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เดี่ยวด้านหนัา ทำงานร่วมกับปั๊มเบรก 2 ลูกสูบ ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสเดี่ยว ทำงานร่วมกับปั๊มสูบเดียว ที่ดูจะมีปรับปรุงดีขึ้นกว่า GPX รุ่นที่ผ่านๆมาอย่างเห็นได้ชัด ให้ความรู้สึกนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น สามารถไล่แรงในการกำเบรกเพื่อหยุดรถได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเบรกหลัง ถือว่าเป็นจุดที่ GPX ทำได้ดีมากๆ

และสุดท้ายคือไฮไลท์สำคัญอย่าง เครื่องยนต์สูบเดียว 223cc ระบายความร้อนด้วยอากาศ ผสานกับระบบออยคูลเลอร์ ที่จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดเป็นครั้งแรกของทาง GPX ให้กำลังใกล้เคียงเหล่าสปอร์ตไบค์ 150cc หม้อนน้ำของเจ้าตลาดมากขึ้น ติดนิดเดียวตรงที่รอบหมดไวไปนิด แม้ว่าจะตั้งล็อครอบไว้สูงถึง 10,000 รอบ/นาทีก็ตาม การสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ตอนขี่รอบสูงๆ ตั้งแต่ 7,000 รอบ/นาที หรือราวๆ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไปจัดว่าอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

ส่วนระบบเกียร์และคลัทช์ยังติดแข็งๆอยู่บ้างในช่วงแรกๆ อาจจะด้วยความที่ตัวรถทดสอบที่เราได้รับมายังใหม่อยู่ (พึ่งแกะยางหุ้มเบาะ และเลขไมล์ 1.1 กิโลเมตรเท่านั้น) ซึ่งเมื่อผ่านการใช้งานไปสักพักประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร ก็ดูเหมือนเกียร์จะเริ่มลื่นขึ้นมาอีกนิด ส่วนความเร็วสูงสุดที่ได้อยู่ที่ 151 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ช่วง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป อาจจะต้องเค้นกันยากนิดหน่อย ซึ่งเอาจริงๆเท่านี้ก็ถือว่าเกินพอแล้วด้วยซ้ำสำหรับการใช้งานจริง

สรุป รีวิว GPX Razer 220 ในครั้งนี้ ถือได้ว่า มันเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของทาง GPX ที่ทำได้ดีมาก เนื่องจากเมื่อผู้เขียนได้ลองสัมผัสตัวจริงแล้ว ถือว่าตัวรถให้ความรู้สึกที่ดีกว่าที่คิดไว้เยอะ และเริ่มใกล้เคียงกับรถมอเตอร์ไซค์สัญชาติญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น ทั้งหน้าตา, เครื่องยนต์, และการควบคุมตัวรถต่างๆ ดังนั้นเมื่อเทียบกับราคาค่าตัวที่ตั้งไว้คือ 78,500 บาท จึงถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจเช่นกัน สำหรับสปอร์ต-แน็คเก็ทไค์พิกัด 223cc สัญชาติไทยคันนี้