2025 Harley-Davidson DRT (Dirt Road Track) เป็น กิจกรรมทดสอบ รถอินทรีมะกัน ไปกับ 3 เส้นทาง ทั้งทางฝุ่น ถนน และสนาม ซึ่งจัดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 4 โดย MotoRival เราได้รับเกียรติจากทาง Harley-Davidson Asia เป็น 1 ใน 4 สื่อ ที่ได้ไปร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
สำหรับ DRT ในปีนี้ จะมีความพิเศษ ตรงที่ ย้ายการจัดจากประเทศไทย ที่เป็นเจ้าภาพมาตลอด ไปที่สนามเซปังฯ มาเลเซีย ซึ่งจะเป็นการช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ MotoGP เพราะ เซปังฯ เป็นเจ้าภาพการแข่งขันด้วย เพราะจากเดิม เราจะจัดขึ้น ณ สนามพีระฯ

ไฮไลท์ในปีนี้จะเป็นการทดสอบรถ 2025 Softail เมื่อ2 เดือนก่อนในบ้านเรา รวมถึง Pan America 1250 ST ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน ThaiGP เมื่อต้นปี
โดยกิจกรรม DRT 2025 = Dirt Road Track ปีนี้ ก็ยังคงมีการทดสอบ 3 Station เหมือนเดิม ซึ่งกลุ่มคนไทยเราจะได้เริ่ม ที่ Dirt ก่อน (ไล่ตามตัวอักษรไปเลย)

เริ่ม Station 1 Dirt ใช้รถ 2025 Pan America 1250 (ล้อซี่) บนแทร็ก Dirt ส่วนตัวผมเองก็ไม่ใช่สาย Enduro สักเท่าไร เลยต้องเรียนตามตรงว่า ผมไม่อาจเค้นสมรรถนะของมันออกมาได้เท่าที่ควร
แต่จากที่ได้ลองขี่ เทียบกับตัวเก่า พบว่า 2025 จะมี นน.ที่เบากว่า และโดยรวมตัวรถ เบาะมันไม่ได้สูงมากนัก และมีระบบช่วงล่างไฟฟ้า ที่เวลาจอดแล้วเบาะจะกดตำแหน่งลงมาต่ำด้วย จุดนี้ ถือว่าช่วยคนสรีระไซส์เอเชียอย่างเราๆได้มาก
สำหรับ นน.ตัวที่มาก ก็อาจจะเป็นอุปสรรคสักหน่อย ในการเลี้ยวหรือคอนโทรลวงแคบอยู่
ส่วนพละกำลังในการขับขี่ ถือว่าทำได้ดี จากเครื่อง V-Twin Revolution Max ที่แรงเหลือเฟือ สำหรับการเดินทาง และเปิดคันเร่งผ่านเส้นทางอุปสรรค เราขี่แค่ เกียร์ 2 ก็พอ ไปเรื่อยๆ ลากไปยาวๆ พละกำลังก็ถือว่าเพียงพอในการไต่ขึ้นทางลาดชัน

Station 2 กับเส้นทาง Road กับการขี่บนถนนโดยรอบสนามเซปังฯ และ สนามบิน ต้องบอกว่า เป็นถนนที่ค่อนข้างโล่ง ขี่ได้สบาย และพื้นผิวเรียบ ดีกว่าถนนในประเทศไทยมากๆ ไฮไลท์ คือ การขี่ 2025 Softail โดย ผม เลือกคันหลักเลย ก็คือ Low Rider ST เพราะ ตัวนี้ เป็นเครื่อง 117 High Output ซึ่งถือว่าแรงสุดในไลน์อัพเฟรม Softail แล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะ ได้จูน Stage II จาก โรงงาน อีก ผมจึงไม่พลาดที่จะเลือกคันนี้ แน่ๆ แต่ ก่อนอื่นในไม้แรก ผมเลือกขี่ Road Glide ที่ถือว่าเป็นสุดสาย ทัวริ่งแบ็กเกอร์ พี่ใหญ่ ของค่ายมะกันตราโล่ นี้
ซึ่ง โดยรวมมันถือว่าเป็นรถที่มี นน. ไม่มากนัก ทั้งในจังหวะนั่งคร่อมเตะขาตั้งที่จะขี่ รวมถึง การพลิกคอนโทรลรถ ก็ขี่ได้ไม่ยากเย็น นั่งสบาย แรงดี แต่ปัญหาคือ แฮนด์ค่อนข้างสูง ทำให้ไหล่ยกพอสมควร

หลังจาก ถึง ปั๊มน้ำมันที่เราต้องสวิทช์รถ ก็ถึงรถที่ผมเล็งไว้ คือ Low Rider ST พอออกจากปั๊ม ผมเผลอ กระแทกคันเร่ง ถึงกับตกใจ เกือบตกรถ เพราะรถมันแรงมากๆ จนเรียกได้ว่า เป็น Harley-Davidson ที่แรงที่สุด คันเร่งโหดที่สุดตั้งแต่เคยขี่มาเลย นับจากที่ผมเคยขี่ LiveWire เมื่อช่วงต้นปี 2020
ด้วยความที่มันเป็นรถที่ นน. เบา เบาะเตี้ย ในสไตล์ครุยเซอร์ทั่วไป ที่ดูไม่ได้จะมีพิษสงอะไร บอกเลย ขี่ไปไหน เอาเรื่องแน่นอน คันนี้ แค่โหมด Road ธรรมดา คันเร่งยังน่ากลัวเลย มันแรงมากๆ บอกเลย ใครบ้าพลัง อยากได้แรงสะใจ คันนี้ เร้าใจแน่นอน แต่ทรงรถแนวนี้ พอขี่ความเร็วสูง มันก็จะโต้ลมมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่ช่วง 130kmph+ ต้องจับแฮนด์ให้มั่น ก้มโน้มตัวไปทางด้านหน้าหน่อย แต่ด้วยทางถนนโล่ง และมาร์แชล นำเราสามารถทำความเร็วได้ถึงระดับ 170kmph+ ได้ไม่ยากเย็น แต่ ตัวคนขี่แทบจะปลิวแล้ว
โดยรวม บอกเลยว่าขี่ได้สนุก มันยังให้ความคล่องตัวได้ดีถ้าขี่ในเมือง ขี่ออกทริป กำลังเหลือๆ แน่นอน แต่ด้วยความที่รถแรงมาก หากต้องเบรก แนะนำว่าต้องเผื่อระยะในการชะลอความเร็ว เพราะ เบรกดิสก์คู่ เป็นปั๊ม 2 pots ที่พละกำลังเบรกยังดูจะไม่เพียงพอกับความแรงสักเท่าไร เอาเป็นว่า ถ้าใครจัดเต็ม และจูนแรงเช่นนี้ อัพเกรดเบรก หน่อยน่าจะแจ่มขึ้นมาก

ปิดท้าย สำหรับ Station แรก Track ต้องบอกว่า
ในรอบขี่ Sighting Lap ผมเลือก Sportster S กันก่อน เอาจริงผมก็รีวิวไปหลายครั้งแล้วกับคันนี้ รับชมรีวิว ได้ที่นี่
มันเป็นรถที่แรง เครื่อง Revolution Max ที่ให้ความเป็นสปอร์ต แตกต่างจาก Milwaukee ที่เน้นทอร์ค สำหรับการขี่แทร็กเช่นนี้ถือว่าบิดได้สนุก แต่การที่ล้อโตยางใหญ่ ทำให้มันเลี้ยวลำบาก พลิกรถได้ช้า แม้กริป จะดี แต่อาจจะเดินคันเร่งได้ไม่เต็มที่เพราะเลี้ยวไม่ค่อยเข้า รวมถึงพักเท้าที่เตี้ย ทำให้องศาการเอียงรถทำได้จำกัด แต่เอาเป็นว่า แรงขี่หล่อๆ เก็บฟีลในสนามทำได้ดีแล้ว

ขณะที่รุ่นไฮไลท์ เลยก็คือ การได้ลองขี่ Pan America 1250 ST ล้อแม็ก 17″ ที่เอาไว้เน้นขี่ทางดำโดยเฉพาะ
ต้องบอกว่าในช่วงที่ให้เราเลือกรถลงขี่ได้นี้ จะเป็นการขี่จับเวลา ด้วยซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ จะเลือกรถคันนี้ เพราะว่า มันเป็นรถที่ เหมาะกับการขี่ในแทร็กที่สุด เพราะว่า พักเท้าสูง สามารถเอียงพับรถได้เยอะ รวมไปถึงทำความเร็วได้สูงที่สุดด้วย โดยรวมต้องบอกว่าน่าเสียดาย ตรงที่ผมไม่ได้นำเรซสูทไป จึงไม่กล้าพับรถเยอะ เพราะกลัวจังหวะเอียงรถกางเข่า หากกางเกงครูดพื้น จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงเพราะ ไม่มี Slider
สำหรับการขี่นั้น ก็ต้องบอกว่า Pan America เป็นรถที่ทำได้ดีตามมาตรฐานรถ Touring Adventure ยกสูง เครื่อง 1000+ แรง สะใจ ส่วนการเข้าโค้ง ถือว่าทำได้ดีกว่ารุ่นล้อซี่ลวด ที่เป็นยาง Trail ตัวนี้ ยางจะเน้น On Road แม้จะไม่ใช่ซีรีย์สปอร์ต จ๋า แต่ก็ยังให้การคอนโทรลได้ดี เพียงแต่รถอาจจะหนักไปนิดหน่อย นอกจากนั้นรถยังมาพร้อมระบบ QS ที่ให้เราเข้าเกียร์แบบเรซซิ่งได้สะดวก เพียงแต่ รองเท้าบูทข้อสั้นผม อาจมีจังหวะเข้าเกียร์ที่ได้ไม่เต็มเท้าเลยมีเข้าเกียร์ว่าวไปบางจังหวะ
เอาเป็นว่าโดยภาพรวม มันก็ถือเป็นรถ Harley ที่ขี่ในแทร็กได้เหมาะสมที่สุดตั้งแต่เราเคยขี่มาแล้ว ปิดท้ายตอนประกาศผล Fastest On Track ดันฟลุ๊ก ได้ถ้วย P3 กลับบ้านมาด้วยซะงั้น

สรุป 2025 Harley-Davidson DRT ในครั้งนี้ มากี่ครั้งก็สนุก แถมปีนี้ พิเศษสุดๆ ได้มาขี่สนาม MotoGP ระดับโลก ซึ่งผมไม่ได้ขี่มา นับ 6 ปีแล้ว สำหรับสนามแห่งนี้ ได้เก็บประสบการณ์กันแบบเต็มอิ่ม ทุกเส้นทาง Off-Road ที่กำลังพอดี ไม่โหดจนเกินไป เหมาะสมกับไซส์รถ การขี่ On-Road บิดได้อย่างเต็มที่ ทั้งเส้นทาง ถนนที่ดีมากๆ มีการดูแลจาก Marshall และจนท.ตำรวจ ที่เพียบพร้อม บอกเลยว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมมากๆ ให้เราได้อรรถรสครบถ้วนทุก และทำให้เราได้รู้ว่า รถ Harley-Davidson บิดได้สนุก ครบทุกเส้นทาง
ขอขอบคุณ Harley-Davidson Asia สำหรับกิจกรรม DRT 2025 ในปีนี้
อ่านข่าว Harley-Davidson เพิ่มเติมได้ที่นี่