ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าทาง Yamaha จะได้ทำการรุกตลาดมอเตอร์ไซค์รุ่นใหญ่หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Big Bike ในภูมิภาคอาเซียนของเรามาได้หลายปี แต่ยังไงเหล่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกวางตลาดอยู่นั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นรถที่ถูกผลิตขึ้นโดยโรงงานที่ประเทศญี่ปุ่นหรืออเมริกาทั้งสิ้น โดยไม่มีแนวคิดที่จะเปิดโรงงานใหม่ในภูมิภาคเราซักที อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าทาง Yamaha จะทนนิ่งเฉยๆต่อกระแสตอบรับของลูกค้าในอาเซียนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆไม่ไหว ทำให้ในใตอนนี้มีข้มูลออกมาว่าพวกเขาได้เตรียมตั้งโรงงานใหม่ที่อินโดนีเซียไว้เพื่อเดินสายผลิตรถมอเตอร์ไซค์พิกัดเกิน 700cc โดยเฉพาะ ซึ่งโมเดลแรกที่จะประเดิมสายการผลิตก็มีการวางแผนไว้แล้วในตอนนี้ โดยมีรหัสโปรเจ็กท์ว่า “B-R” ที่ทางสื่ออินโดนีเซียตีความเอาไว้ว่าน่าจะเป็นโมเดลใหม่แนว “เทรลไบค์” ที่ยังไม่เคยมีการผลิตที่ไหนมาก่อน ใช่ครับสำหรับโมเดลเกิน 700cc รุ่นใหม่ของ Yamaha ที่จะมาในรูปโฉมแนวเทรลไบค์ หรือสายลุยในเร็วๆนี้คงหนีไม่พ้นเจ้า Tenere 700 ที่ต่อยอดมาจาก T7 Concept ซึ่งถ้าหากว่าทางค่ายจะนำโมเดลนี้มาผลิตในอินโดนีเซียจริง นั่นก็หมายความว่ามันจะต้องถูกนำเข้ามาเพื่อวาจำหน่ายในบ้านเราด้วย ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่ประเด็นที่น่าดีใจเท่าไหร่นัก แต่ที่เราอยากจะให้เพื่อนๆเตรียมใจไว้ก่อนก็คือ ตัวเลขราคาของมันจะต้องถูกลงกว่าการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นโดยตรงแน่นอน อ่านข่าว Yamaha อื่นๆได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ Motorival
Author: admin
ในที่สุุดก็ได้เวลายืนยันวันการเปิดตัวของ Suzuki Bandit 150 กันซักทีหลังจากที่มีข่าวคราวให้ได้ยินออกมาบ่อยขึ้นเรื่อยๆในช่วงขวบปีที่่ผ่านมา ทั้ง การจดหมายการค้า Bandit ใหม่, ภาพแอบถ่าย Spyshot, และภาพเรนเดอร์ที่เราพึ่งลงข้อมูลไปเมื่อกลางเดือนก่อน โดยจากข้อมูลระบุไว้ว่าขณะนี้ทาง Suzuki มีความต้องการที่จะเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ที่งาน GIIAS 2018 ซึ่งเป็นงานมหกรรมยานยนต์ประจำปีของประเทศอินโดนีเซียที่จะจัดขึ้นช่วงกลางสัปดาห์หน้า และในเวลานี้คงไม่มีรถมอเตอร์ไซค์โมเดลไหนแล้วที่ควรค่าแก่การเปิดตัวในงานดังกล่าวนอกจาก Bandit 150 ที่มีข่าวหรือข้อมูลออกมาให้พวกเราได้เห็นกันอย่างหนักในช่วงเดือนสองเดือนมานี้ ส่วนข้อมูลพื้นฐานตัวรถในเบื้องต้นนั้น แน่นอนว่า Suzuki Bandit 150 นั้นจะใช้พื้นฐานเดียวกันกับสองแฝด GSX-R150/GSX-S150 แต่มีการปรับเปลือกนอกใหม่ให้ดูอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ชุดไฟหน้า, เบาะตอนเดียว, แฟริ่งท้ายดีไซน์โค้งมน, และชุดไฟท้ายที่คาดว่าจะยกมาจากพี่น้องท้อง(เครื่องยนต์)เดียวกัน อย่าง Raider 150 ขอบคุณข้อมูลจาก Iwanbanaran อ่านข่าว Suzuki อื่นๆได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ Motorival
หลังเปิดตัวและทำตลาดมาได้เป็นระยะเวลาประมาณปีกว่าๆ ในที่สุดทาง Suzuki ก็ได้มีการปรับเฉดสีใหม่ของเจ้า GSX-R150 เพื่อทำลาดในฐานะโมเดลปี 2018-2019 กันซักที โดยสำหรับชุดสีใหม่ที่ว่านี้ จากภาพโดยสื่ออินโดนีเซีย จะมีเฉดสีหลักเป็นสี ขาว/น้ำเงิน ซึ่งเป็นสีโทนเดียว,ลายเดียวกับของพี่ใหญ่ GSX-R1000 ซึ่งน่าเสียดายที่ตอนนี้มีแค่ภาพของเฉดสีดังกล่าวหลุดออกมาให้เห็นกันแบบเป็นทางการแค่ภาพเดียวเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันนั้นถ้าเทียบกับเฉดสีของโมเดลที่ขายอยู่ในบ้านเรา ก็จะพบว่ายังมีเฉดสี แดง/ดำ และ ดำ/แดง ที่ยังไม่เข้ามาขายในบ้านเราเช่นกัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าภายในสิ้นปีนี้ทาง Suzuki Motor ประเทศไทยจะนำชุดสีทั้ง 3 เฉดที่เรากล่าวถึงมาจำหน่ายในบ้านเราคู่กับสี ฟ้า “MotoGP Ecstar Team” แทนของเดิม ส่วนข้อมูลพื้นฐานอื่นๆของตัวรถยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นแค่การปรับโฉมประจำปีเท่านั้น นั่นจึงหมายความว่าทั้งเครื่องยนต์สูบเดียว 147.3cc แคมคู่ ระบายความมร้อนด้วยน้ำ ยังคงเป็นลูกเดิมกับของเมื่อปีก่อน แม้กระทั่งกำลังสูงสุดก็ยังมีตัวเลขเท่าเดิมคือ 19 แรงม้าที่ 10,500 รอบ/นาที กับแรงบิดอีก 14 นิวตันเมตรที่ 9,000 รอบ/นาที แน่นอนว่ารวมถึงส่วนพวงหลักอื่นๆก็ยังไม่มมีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น…
“บอล” ศุภฤกษ์ จันทร์ศรี หัวหน้าช่างเทคนิคทีมแข่งสัญชาติไทย “เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” เผยสภาพอากาศที่ญี่ปุ่นขณะนี้ร้อนจัด อุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศา ส่งผลกระทบต่อการเซตรถแข่ง พร้อมประเมินสถานการณ์ล่าสุด ปีนี้โหดกว่าปีก่อน เพราะมีคู่แข่งกว่า 100 ทีม ในปีนี้ ทั่วประเทศญี่ปุ่นเผชิญอากาศร้อนจัด บางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียสเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2013 ขณะที่บริเวณสนามแข่งขัน ซูซูกะ อินเตอร์เนชั่นแนล เรซซิ่ง คอร์ส ในจังหวัดมิเอะ ซึ่งเตรียมใช้ทำศึก ซูซูกะ เอ็นดูรานซ์ 4 ชั่วโมง และ 8 ชั่วโมง ระหว่างวันที่ 28-29 กรกฏาคม นี้ ก็ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นกัน “ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นร้อนระอุ อากาศในสนามร้อนมากครับ วัดจากตัวเลขอยู่ราวๆ 38-39 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับปีก่อนถือว่าแตกต่างกันอย่างมาก” บอล-ศุภฤกษ์ จันทร์ศรี…
หลังประกาศแยกทางกับ Tom Sykes ไปเมื่อราวๆ 2 สัปดาห์ก่อน ในที่สุดทาง Kawasaki Racing Team ก็ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้วว่าผู้ที่จะมาเป็นนักบิดคู่หูคนใหม่ใน WSBK ปี 2019-2020 ของ Jonathan Rea ก็คือ Leon Haslam ผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นนักบิดให้กับ JG SPEEDFIT KAWASAKI หรือ Kawasaki ทีมใหญ่ในเวทีการแข่ขัน British Superbike โดยสำหรับผลงานของนักบิดวัย 35 Leon Haslam ในปัจจุบันคนนี้ ต้องบอกเลยว่าน่าสนใจไม่น้อย เพราะผลคะแนนสะสมใน BSB ของเจ้าตัวนั้นอยู่ในอันดับที่ 1 ของตาราง แถมยังคะแนนยังนำห่างคู่แข่งแบบไม่ไว้หน้าคือ 80 แต้ม ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ Kawasaki รีบดึงตัวนักบิดรายนี้มาทำหน้าที่แทน Tom Sykes ทันทีแบบไม่มีลังเล ขอบคุณภาพจาก…
ย้อนไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เราได้เคยนำเสนอไปครั้งหนึ่งแล้วว่าทาง Honda อาจจะมีแผนเปิดตัว CB650 ในรหัส R ที่ใช้หน้าตา รูปโฉม หรือแนวทางการออกแบบคล้ายกับพี่น้อง CB-R ยุคปัจจุบัน ในเร็วๆนี้ แต่จากข้อมูลล่าสุดดูเหมือนว่าทางค่ายจะไม่ได้เตรียมงัดไม้เด็ดเพียงแค่ไม้เดียวเท่านั้น เพราะพวกเขาได้เตรียมเปิดตัวสปอร์ต-แน็คเก็ทบนพื้นฐานเดียวกันนี้ด้วย โดยข้อมูลที่เรากำลังพูดถึงอยู่ตอนนี้ถูกเปรยออกมาจาก Fabrice Recoque ผู้บริหาร Honda Motorcycle ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้กล่าวเอาไว้ว่า “แผนระยะกลางในตอนนี้ของเราคือการเปิดตัวโมเดล 650cc รุ่นใหม่ในอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ โดยโมเดลที่ว่าจะอ้างอิงไลน์อัพล่าสุดที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเราได้เริ่มสร้างมันขึ้นมาแล้วเรียบร้อย แต่ยังไม่พร้อมที่เปิดเผยอะไรได้ในตอนนี้ นอกจากเราจะเปิดตัวมันครั้งแรกที่งาน EICMA Show” ซึ่งเราคาดว่าประโยคนี้น่าจะหมายถึง CB650R ที่เพื่อนๆหลายคนกำลังรอคอยอยู่ และในบทสัมภาษณ์เดียวกันนั้นผู้บริหารยังให้ข้อมูลอีกว่านอกจากโมเดลใหม่ที่จะเปิดตัวในอีก 4 เดือนนับจากนี้แล้ว ยังมีความเป็นไปไปได้อีกว่าพวกเขาจะสร้างสปอร์ตแน็คเก็ทไบค์พิกัด 650cc ขึ้นมาอีกรุ่น โดยโมเดลใหม่ที่ว่านี้คาดว่าจะเป็นร่างเกิดใหม่ของแน็คเก็ทไบค์ตัวจี๊ดของค่ายนั่นก็คือตระกูล “Hornet” นั่นเอง โดยถ้าหากข้อมูลทุกอย่างนั้นที่เราคาดการณ์ไว้ไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะหมายความว่าในสิ้นปีนี้ เราจะได้เห็นเจ้า CB650F รุ่นปัจจุบัน ถูกอัพเกรดและตกแต่งหน้าตาภายนอกใหม่ด้วยชุดไฟหน้า…
หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้ง Yamaha และ Honda ได้เปิดตัวสองสกูตเตอร์ขุมกำลัง Hybrid อย่าง Grand Filano Hybrid และ PCX Hybird ออกมาเพื่อแลกหมัดกันเอาให้แหลกไปข้าง แต่เมื่อลองพิจารณากันดีๆแล้วจะพบว่าทั้งสองคันนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อตีตลาดเดียวกันโดยตรง เพราะทางฝั่ง Grand Filano นั้นถูกวางตำแหน่งไว้เล่นตลาดพรีเมียมสกูตเตอร์ระดับ 125cc ส่วน PCX กลับถูกวางตำแหน่งไว้เล่นตลาดพรีเมียมสกูตเตอร์ที่มีพิกัดสูงกว่าคือ 150cc ดังนั้นในบทความเปรียบเทียบตัวรถครั้งนี้ เราจึงไม่ได้เปรียบเทียบโดยเอาขนาดความจุของเครื่องยนต์หรือความแรง แม้แต่ขนาดตัวรถเป็นตัววัด แต่เราจะมาวัดกันโดยใช้หัวข้อเรื่องความเป็น Hybrid และฟีเจอร์ที่ให้มา ว่าคันไหนคุ้มค่ากับราคาที่ตั้งไว้มากกว่ากัน เริ่มจากชุดไฟส่องสว่างรอบคัน ที่ทางฝั่งของ Yamaha Grand Filano Hybrid นั้นได้รับการปรับโคมไฟหน้าใหม่ให้หันมาใช้หลอด LED เหมือนไฟท้าย ส่วนไฟเลี้ยวยังคงเป็นหลอดไส้เช่นเดิม แต่ในส่วนของ Honda PCX Hybrid ที่เป็นแบบ Full LED มาตั้งแต่โฉมก่อนหน้านี้แล้ว…
อย่างที่เราเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าทาง Ducati ได้จัดงานนิทรรศการ WDW2018 ขึ้น ซึ่งในงานดังกล่าวนั้นพวกเขาได้มีการทำ Panigale V4S รุ่นพิเศษขึ้นมา โดยจุดเด่นของมันก็คือลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์จากนักบิดในสังกัดซุ้มสีแดงแต่ละคน และทำขึ้นมาเพื่อให้นักบิดเจ้าของลายเหล่านั้นได้ใช้ลงแข่งขัน “Race of Champions” ที่ถือเป็นไฮไลท์อีเวนท์ของงานนี้ และจากการแข่งขันดังกล่าวผลปรากฏว่าผู้ชนะประจำการแข่งขันก็คือ Michele Pirro นักบิดรับจ้างผู้มีหน้าที่ทดสอบตัวแข่ง Desmosedici ของการแข่งขัน MotoGP ส่วนนักบิดท็อปคลาสแท้ๆอย่าง Andrea Dovizioso และ Jorge Lorenzo กลับเข้าเส้นเป็นอันดับท้ายๆ อาจจะด้วยความที่ตำแหน่งสตาร์ทในตอนแรกเป็นแบบสุ่ม และการแข่งขันนี้ก็เป็นแค่อีเวนท์ที่ทำขึ้นมาเพื่อเอาใจชาว Ducatisi เท่านั้น จึงไม่ต้องกดเวลาอะไรมาก (แต่จากการที่ผู้เขียนได้ดูการแข่งขันผ่านๆก็ถือว่ามันไม่น้อยเลยทีเดียว) อย่างไรก็ดี แม้ว่ากิจกรรม “Race Of Champions” ที่จัดขึ้นในงาน WDW2018 จะมีจุดประสงค์แค่เพื่อเอาใจลูกค้าเล่นๆเท่านั้น แต่กับตัวรถ 2018 Ducati Panigale V4S : ROC…
หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อนทาง A.P. Honda ได้เปิดตัวเจ้า PCX Hybrid ออกมา และให้เหล่าสื่อมวลชนได้ทดสอบประสิทธิภาพตัวรถว่ามีความต่างจาก PCX 150 บ้าง ขณะเดียวกันนั้นเองหนึ่งในคำถามที่เพื่อนๆต่างสงสัยไม่แพ้สเปคพื้นฐานของ PCX รุ่นใหม่คันนี้ก็คือเรื่องของ ราคา ซึ่งข้อมูลในขณะนั้นทางผู้บริหารได้กล่าวไว้ว่าพวกเขาจะเปิดราคา PCX Hybrid ช่วงต้นเดือนสิงหาคม ด้วยตัวเลขไม่เกิน 1.2 แสนบาท แน่นอน โดยถ้าหากเราลองคิดความสมเหตุสมผลของตัวเลขดังกล่าวนั้นก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ควรจะเป็น เพราะราคาตั้งต้นของ PCX 150 รุ่นมาตรฐานก็เปิดมาที่ราวๆ 80,000 ถึง 90,000 บาท (ขึ้นอยู่กับความใจดีของดีลเลอร์) ซึ่งเมื่อบวกราคานี้เข้าไปกับ ค่าต้นทุน, ค่าคิดแบบ, เทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาทั้งจากแบต Li-ion ลูกละ 20,000 บาท (อ้างอิงจากคำพูดของผู้บริหารในวันเปิดตัว), ระบบไฮบริด จาก PDU และ ACG ทำให้ตัวเลขราคาระดับ 1.2 แสนบาทนั้นดูเหมาะสมแล้ว…
หลังจากห่างหายไปนานเกือบ 2 ปีเห็นจะได้ ในทึ่สุดทาง Kawasaki ก็มีแผนที่จะส่งซุปเปอร์ไบค์ขุมกำลัง 4 สูบเรียง ซุปเปอร์ชาร์จของตัวเองลงไปกดเวลาที่ลานเกลือ Bonneville อันโด่งดังอีกครั้ง แต่ในคราวนี้พวกเขาไม่ได้จะส่งเจ้า Ninja H2R ลงไปกดสถิติเวลาเหมือนเมื่อปี 2016 แต่เป็นเจ้า Ninja H2 รุ่นทำขายให้กับลูกค้าทั่วไปที่จะทำหน้าที่ตรงนี้แทน โดยในส่วนของทีมที่จะรับผิดชอบการนำเจ้า H2 ไปลงทำสถิติเวลาครั้งนี้ก็คือ “Team 38” ซึ่งเป็นทีมเฉพาะกิจของทางค่ายที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุค 60 เพื่อรวมวิศวกรระดับหัวกะทิจากบริษัทแม่ Kawasaki Heavy Industries ให้มาทำภารกิจประเภทนี้โดยเฉพาะ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของตัวรถ Kawasaki Ninja H2 ที่จะใช้ลงทำสถิติเวลาในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรออกมามากมายนัก แต่หากอ้างอิงจากแฝดพี่ H2R ที่ใช้ทำสถิติตอนปี 2016 (ในคลิปที่เราแนบไว้ข้างบน) จะพบว่าทางค่ายได้ทำการเปลี่ยนรายละเอียดชุดแฟริ่งเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ตัวรถดูเหมาะสมกับการทำความเร็วทะลุ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งแนวทางการปรับแต่งแฝดผู้น้องก็คงไม่ต่างไปจากนี้มากมายนัก โดยเราคงต้องมาดูผลกันอีกทีกลางเดือนหน้าว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่อย่างไร อ่านข่าวสาร Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่…