CCM บริษัทจากสหรัฐอเมริกาเตรียมเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ของค่ายอีกหนึ่งรุ่นหลังได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าที่ดีจากการเปิดตัว Spitfire และ Spitfire Scrambler ไปเมื่อต้นปีและกลางปีตามลำดับ โดยในครั้งนี้ทาง CCM จะยังใช้พื้นฐานตัวรถจาก Spitfire รุ่นพื้นฐานเช่นเดิม แต่ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ส่วนควบรอบคันให้เป็นรถมอเตอร์ไซค์แนว Café Racer แทน ทั้ง แฮนด์จับโช้กแบบยึดใต้แผงคอ, เกียร์โยง, ท่อไอเสียเดินใต้ท้องรถ, บังโคลนโช้กหลัง, และเบาะนั่งตอนยาวสำหรับขยับตัวเพื่อหมอบ ด้านตัวเครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบสูบเดียว 600cc ที่สามารถสร้างกำลังได้สูงสุด 55 แรงม้า และแรงบิด 58 นิวตันเมตรเช่นเดิม แต่น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกนิดเป็น 125 กิโลกรัมจากเดิมที่มีอยู่ 120 กิโลกรัมในรุ่นพื้นฐาน (แนวแทรคเกอร์) ส่วนราคาค่าตัวทาง CCM เลือกที่จะตั้งไว้สูงถึง 9247 ปอนด์ หรือราวๆ 402,000 บาทเลยทีเดียว อ่านข่าว CCM เพิ่มเติมได้ที่นี่ อ่านข่าว Cafe เพิ่มเติมได้ที่นี่…
Author: admin
เชื่อว่าการขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจขึ้นไปพิชิตเขาซักลูกนึงให้ได้จะต้องเป็นความฝันของเพื่อนๆนักเดินทางอยู่หลายคนเช่นกัน แต่จะมีซักกี่คนที่สามารถทำมันได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความสูง 4,420 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อย่างที่ Vinay Choudhary กับ 2017 KTM Duke 390 และเพื่อนกลุ่มเล็กๆของเค้าทำ สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน ถึงวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีจุดมุ่งหมายคือการขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจจากประเทศอินเดียเดินทางไปสู่เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งจะต้องผ่านช่องเขาที่มีชื่อเรียกว่า Sach Pass อันเต็มไปด้วยหิมะที่ปกคลุมถนนลูกรังหนาเป็นฟุตหรือไม่ก็ธารน้ำอุณหภูมิเกือบติดลบไหลผ่านร่องหินสลับกันไปมาเป็นระยะทางกว่า 127 กิโลเมตร แน่นอนว่าหลังจากที่ Vinay สามารถผ่านเส้นทางอันแสนหฤโหดนี้มาได้ ก็ทำให้เค้าประทับใจกับ Duke 390 คู่ใจของเค้าอย่างมาก ทั้งในเรื่องของพละกำลังและความถึกทน เนื่องจากว่ามันเสียหายทั้งแฮนด์บาร์คด ถังน้ำมันบุบ ถังเก็บน้ำหล่อเย็นสำรองแตก แต่มันก็ยังสามารถพาเค้าออกมาจากเส้นทางได้อย่างไม่ลำบากอะไรนักทั้งๆที่เค้าเปลี่ยนแค่ยางติดรถเป็นยางหนามเท่านั้น เรียกได้ว่างานนี้ต้องยอมให้กับทั้งคนและรถที่ใจกล้าไม่น้อยกับการเดินทางครั้งนี้จริงๆ โดยเพื่อนๆสามารถคลิกชมคลิปบรรยากาศคร่าวๆได้ด้านล่างนี้ หรือถ้ายังไม่หนำใจก็สามารถคลิกเข้าไปชมเพิ่มเติมที่เฟซบุ้คของ Vinay Choudhary ได้เลยครับผม ขอบคุณที่มา Rushlane อ่านข่าว KTM เพิ่มเติมได้ที่นี่…
หลังจากที่ทาง Kawasaki ประเทศญี่ปุ่นได้มีการประกาศเปิดตัว Estrella 250 Final Edition ไปเมื่อช่วงกลางเดือนเมษาที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนว่าจะมีเหล่าสาวกมอเตอร์ไซค์ทรงคลาสสิคหลายคนต่างตั้งคำถามขึ้นมาว่า แล้วในอนาคตพวกเค้าจะมีโอกาศได้เห็นเรโทรไบค์ไซส์เล็กรุ่นใหม่จากค่ายนี้อีกหรือไม่ ซึ่งล่าสุดก็ได้มีสื่อจากอินโดนีเซียอย่าง Iwanbanaran ให้ข้อมูลมาว่า “มี” จากข้อมูลที่ทางสื่อ Iwanbanaran ได้ระบุไว้มีใจความสรุปคร่าวๆได้ว่า ขณะนี้ทาง Kawasaki กำลังมีแผนที่จะพัฒนาเรโทรไบค์รุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อทดแทน Estrella 250 ที่กำลังจะยุติการผลิตในไม่ช้า แต่จะถูกลดขนาดความจุเครื่องยนต์ลงจาก 250cc เป็น 150cc เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและช่วยลดต้นทุนซึ่งมันมีผลต่อเนื่องในการตั้งราคาสำหรับวางจำหน่ายที่ถูกลงอีกด้วย อย่างไรก็ตามจากความเป็นไปได้ในตอนนี้เราอาจจะได้เห็น Estrella 150 (ชื่อสมมุติ) มาป้วนเปี้ยนใกล้ที่สุดก็แค่ในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าทาง Kawasaki ประเทศไทยจะนำกระแสเรโทรไบค์พิกัดนี้มาอ้างอิงในการตัดสินใจ โดยรุ่นที่ใกล้เคียงที่สุดในเวลานี้ก็คือ Centaur 150 ที่สามารถสร้างกระแสตอบรับให้กับทาง Stalions ได้ดีเลยทีเดียวสำหรับเจ้าม้าเทพตัวนี้ แล้ว Kawasaki ประเทศไทยจะเล่นตลาดนี้กับเค้ามั้ยล่ะ ? ขอบคุณที่มา iwanbanaran, indianautoblog อ่านข่าว…
เนื่องด้วยรูปลักษณ์ที่ดูมีมนต์ขลัง และยังดูเอื้อต่อการดัดแปลงอะไรได้อีกมากมายหลายอย่าง ทำให้เจ้า BMW R NineT มักเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกนำมาทำการคัสตอมหรือดัดแปลงตามรสนิยมของสำนักแต่งหลายแห่งในต่างประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแทรคเกอร์ แสคมเบลอร์ และครุยเซอร์ที่หน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากหนังเรื่อง Mad Max อย่างเจ้า BMW R NineT “Imposter” คันนี้ โดยชื่อสำนักแต่งเจ้าของผลงานนี้ก็คือ El Solitario ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของของประเทศสเปน ผู้มีประสบการณ์ในการคัสตอมรถมอเตอร์ไซค์มาแล้วหลากหลายรุ่น ซึ่งครั้งนี้พวกเค้าก็ได้ทำการนำเจ้า R NineT มาถอดชิ้นส่วนพวกแฟริ่ง (ที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) ออกไปทั้งหมด เพื่อดัดแปลงแผงคอและระบบกันสะเทือนหลัง เพื่อให้มันสามารถรองรับโช้กหน้า/หลังของ S1000RR ที่พวกเค้านำมาแบบทั้งชุด ลงบน BMW R NineT “Imposter” หลังจากนั้นก็ทำการติดตั้งชุดไฟ LED ขนาดเล็กจาก BMW 4 ดวง และไฟตัดหมอกดวงใหญ่จาก Marchal อีก 1 ดวง นอกจากนี้ยังมีไฟท้ายมาตรฐาน FIA อีก…
พักกระแสรถเปิดตัวใหม่กันบ้างสักวัน แล้วมาพบกับคัสตอมไบค์ที่น่าสนใจกันดีกว่า กับเจ้า Hellion ที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของ Gregg Desjardins เจ้าของสำนัก Gregg’s Customs จากประเทศสหรัฐอเมริกา สำหรับโปรเจ็คการสร้างเจ้า Hellion นั้นที่จริงแล้วทางสำนักได้เริ่มแนวคิดขึ้นตั้งแต่ปี 2008 หรือเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว โดย Gregg ต้องการสร้างรถมอเตอร์ไซค์แนวแน็คเก็ตไบค์ที่ใช้เทคโนโลยีเฟรมแบบโมโนค็อกขึ้นเป็นของตัวเอง ดังนั้นเค้าจึงเริ่มจากการนำเครื่องยนต์ V-Twin ขนาด 1,670cc จาก Yamaha MT-01 มาดัดแปลงเพื่อให้มันสามารถรองรับกับเฟรมใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้น พร้อมกับดัดแปลงแกนเพลาส่งกำลังใหม่ให้สามารถติดตั้งจานเบรกที่นำมาจาก Honda CRF450 ได้ ส่วนทางด้านของเฟรมตัวรถนั้นก็อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นว่ามันเป็นแบบโมโนค็อก ส่วนสวิงอาร์มหลังเป็นแบบถัก ซึ่งทั้งสองอย่างที่เรากล่าวมานี้ถูกทำขึ้นโดยใช้วัสดุเหล็กโครโมลี่รหัส 4130 ที่เด่นในเรื่องของความทนทานเป็นวัสดุหลัก ติดตั้งโช้กหน้าหัวกลับขนาดแกน 50 มิลลิเมตรจาก Marzocchi ส่วนโช้กหลังเป็นแบบปรับไฟฟ้าจาก Penske ที่มีจุดเด่นอีกอย่างคือใช้ไทเทเนียมเป็นวัสดุในการทำสปริงเพื่อรีดน้ำหนัก บอดี้พาร์ทอลูมิเนียมทำมือทุกชิ้น แม้กระทั่งล้อแม็กก็ยังเป็นแบบที่ทางสำนักออกแบบขึ้นมาเอง โดยมันมีขนาดหน้ากว้าง 120/70-17 สำหรับล้อหน้า…
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราได้เคยนำเสนอไปว่าทาง TVS เตรียมจะเปิดตัวสปอร์ตไบค์ร่างอวตารของ BMW G310RR อย่าง Apache RTR 300 ในช่วงเดือนกรกฏาคมที่จะถึงนี้ แต่ล่าสุดได้มีข่าวออกมาว่ากำหนดการเปิดตัวนั้นจะเร็วขึ้นอีกหนึ่งเดือนคือเปิดตัวในเดือนสิงหาคม ซึ่งแน่นอนว่าประเทศแรกที่จะได้สิทธิ์ในการทำตลาดก็คืออินเดียบ้านเกิดของมันนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ราค่าตัวของ TVS Apache RTR 300 นั้นจะอยู่ที่ราวๆ 92,600 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าให้เทียบกับรถสปอร์ตจากค่ายอื่นๆที่ทำตลาดในอินเดียเราก็พบว่ามันถูกจัดอยู่ในกลุ่มราคาเดียวกันกับ Honda CBR250R และ KTM RC200 ส่วน RC390 จะมีราคาขยับขึ้นไปอีกราวๆ 1.5 เท่า และสปอร์ตไบค์พิกัด 300cc จากญี่ปุ่นที่นิยมใช้กันในบ้านเราอย่าง Kawasaki Ninja 300, Yamaha YZF-R3 นั้นกลับมีราคาสูงกว่าเจ้าฉลามน้องใหม่คันนี้เป็นสองเท่าตัว (Ninja เปิดราคา 1.9 แสน ด้าน R3 ตั้งราคา 1.7 แสน…
เรียกได้ว่าเนื้อหอมจริงๆ สำหรับแบรนด์ Ducati ในตอนนี้หลังจากที่ทาง VW Group มีความต้องการจะขายแบรนด์มอเตอร์ไซค์รายนี้ออกจากเครือ แล้วมีเหล่าผู้ผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ความสนใจหลายค่ายด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Harley-Davidson โดยล่าสุดมีรายงานข่าวออกมาว่าพวกเค้าต้องทุ่มเงินมากกว่า 1.67 พันล้านเหรียญ หรือราวๆ 56,750 ล้านบาท เพื่อเป็นสินสอดให้กับทาง Volkswagen สำหรับการสู่ขอแบรนด์ Ducati มาเป็นบริษัทลูกในเครือของตน ซึ่งพวกเค้าหวังเป็นอย่างมากว่านี่จะทำให้ยักษ์ใหญ่เยอรมันเลือกที่จะปล่อยแบรนด์ดังจากอิตาลีให้พวกเค้ามากกว่าที่จะมอบมันให้กับอาบังหรือลุงแซมชาติเดียวกัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเหล่าคู่แข่งรายอื่นๆนั้นก็ยังไม่ได้ถือว่าหมดโอกาสไปซะทีเดียว เพราะทาง Volkswagen ไม่ได้จะพิจารณาแค่เม็ดเงินเท่านั้น แต่พวกเค้ายังเลือกที่จะตรวจสอบความพร้อมอื่นๆของทางค่ายที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาด้วย ดังนั้นผู้สนใจรายอื่นๆจึงยังมีลุ้นที่จะเป็นเจ้าของ Ducati อยู่เหมือนเดิมจนกว่าจะถึงวันประกาศจริงอีกทีว่าสุดท้ายแล้วแบรนด์มักกะโรนีรายนี้จะไปตกอยู่ที่ใคร อ่านข่าวสาร Ducati เพิ่มเติมได้ที่นี่ อ่านข่าวสาร Harley-Davidson เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ Motorival
คำว่า “Yamaprilia” อาจจะฟังดูแสลงหูและก็ปนความคุ้นเคยไปในเวลาเดียวกัน แต่นี่คือชื่อของเจ้ามอเตอร์ไซค์ที่เพื่อนๆกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ ซึ่งเกิดจากแนวคิดของเจ้าของขี้เบื่อที่เกิดนึกสนุกอะไรไม่รู้ถึงนำเจ้ามอเตอร์ไซค์จาก Yamaha และ Aprilia ของเค้ามาผสมกันจนเป็นแน็คเก็ทไบค์สุดจ๊าบคันนี้ โดยชิ้นส่วนที่ทางเจ้าของเลือกหยิบยกมาจาก Yamaha ก็คือเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 347cc 2 จังหวะจากเรโทรไบค์รุ่น RZ350 มาประกบกับเฟรมอลูมิเนียมน้ำหนักเบาของสปอร์ทไบค์ตัวจี๊ดแดนอิตาลีอย่าง Aprilia RS250 แล้วจัดการแปลงชิ้นส่วนอีกหลายอย่างด้วยกันทั้ง ซับเฟรม, แผงคอ, แกนคอ, แกนสวิงอาร์ม, ยางรองโซ่, เพลาหลัง, พร้อมแปลงฐานยึดคาลิปเปอร์เบรกหลัง โดยใช้วัสดุอลูมิเนียมเกรด 7075 ขึ้นรูปด้วยวิธีการ CNC เสริมทัพด้วยของแต่งอีกมากมายเพื่อสมรรถนะในการขับขี่ที่สูงขึ้น เช่น โช้กหน้าจาก Ducati Panigale และโช้กหลังรุ่น TTX ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของ Ohlins ด้วยกันทั้งคู่, ชุดล้อทั้ง 2 วงก็เลือกใช้แบบคาร์บอนน้ำหนักเบาจาก BST, ระบบเบรกด้านหน้าจัดเต็มด้วยคาลิปเปอร์รุ่น RCS19 จาก…
พบกับ Ducati Mutistrada Enduro “Pro” อีกหนึ่งเวอร์ชันพิเศษของทัวริ่งไบค์รุ่นใหญ่สุดจากทาง Ducati อย่าง Multistrada 1200 ที่ได้รับการตกแต่งด้วยชิ้นส่วนเสริมอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการบุกตะลุยขึ้นอีกขั้นจากรุ่นมาตรฐาน โดยชิ้นส่วนหลักๆที่ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามาของรุ่น Enduro Pro เมื่อเทียบกับรุ่นมาตรฐานนั้นจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ชิ้นด้วยกัน คือ ยางหน้าหลัง จาก Pirelli Scorpion Rally ขนาด 120/70-R19 และ 170/60-R17, ติดตั้งแครชบาร์ขนาดใหญ่จาก Touratech ร้อมสปอร์ตไลท์ LED อีก 2 ดวง, วินชิลด์ทรงต่ำ, และท่อไอไทเทเนียมเสียจาก Termingoni ส่วนตัวถังภายนอกถูกสาดด้วยสีทรายอันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น แม้กระทั่งเบาะก็ยังถูกทำให้เป็นทูโทนสองสีกับเค้าเช่นกัน ด้านซับเฟรมและฝาครอบแครงก์ซ้ายขวาที่แต่เดิมเป็นสีเงินเข้มก็ถูกพ่นสีใหม่ให้เป็นสีดำสนิทเสริมลุคเคร่งขรึมให้กับตัวรถ สนนราคาแบบไม่รวมภาษีที่ 18,995 ปอนด์ หรือราวๆ 817,200 บาท อ่านข่าว Ducati เพิ่มเติมได้ที่นี่ อ่านรีวิว…
คัสตอมไบค์สีเงินที่เพื่อนๆกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นผลงานของสำนักตกแต่งแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียที่มีชื่อว่า Hazan Motoworks โดยพวกเค้าได้ทำการนำเครื่องยนต์ขนาด 500cc ถึงสองลูกมาประกบกันจนเป็นเครื่องยนต์ V-Twin ขนาดความจุราวๆ 1,000cc เพื่อติดตั้งใน Royal-Enfield “Musket” คันนี้ นอกจากตัวเครื่องยนต์ V-Twin ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว จุดเด่นอื่นๆของเจ้า Musket คันนี้ก็ยังมีทั้ง โครงสร้างตัวรถที่ถูกชุมด้วยโครเมียมทั้งคัน พร้อมติดตั้งถังน้ำมันวัสดุอลูมิเนียมทรงหยดน้ำที่ถูกออกแบบให้มันครอบทับแบตเตอรรี่อีกลูกนึง แม้กระทั่งชุดสายคันเร่งก็ยังถูกซ่อนไว้ใต้แฮนด์บาร์ ส่วนสายไฟต่างๆก็ถูกซ่อนไว้ใต้โครงที่อยู่ด้านล่างเครื่องยนต์ เพื่อทำให้ตัวรถดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในส่วนของเครื่องยนต์แม้ว่ามันจะถูกสร้างจนมีความจุสูงถึง 1,000cc แต่มันกลับมีกำลังอัดแค่ 6.5 : 1 เท่านั้น ส่งผลให้มันสามารถสร้างแรงม้าได้แค่เพียง 55 ตัวเท่านั้นเอง แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว เพราะเพื่อนๆคงอยากขับเจ้า Royal Enfield Musket ไปอย่างช้าๆเพื่ออวดรูปลักษณ์และหน้าตาของมันให้คนอื่นๆได้สะดุดตากันซะมากกว่า จริงมั้ยครับ ? อ่านข่าว Royal-Enfield เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ…