หลังจากที่ ค่ายรถสัญชาติไทยอย่าง GPX ได้เปิดตัวรถ 2 สูบ คันแรกของค่ายไปเป็นที่เรียบร้อย ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา กับรถที่มีดีไซน์คลาสสิค ที่ให้ภาพย้อนยุคสู่ช่วง 80′ ตามคอนเซ็ปต์ The Iconic Reborn แต่ก็แฝงกลิ่นอายความเป็นสมัยใหม่ร่วมกันไปด้วยอย่างลงตัว ซึ่งในครั้งนี้ ทางแบรนด์ได้มีกา Rebranding Logo ใหม่ พร้อมปรับปรุง ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการส่งมอบรถให้ลูกค้า จากเดิมที่ลูกค้าต้องรอกันนาน ราวครึ่งปี มาครั้งนี้ รวดเร็ว ทันใจยิ่งขึ้น
โดยทางทีมงาน MotoRival เราได้มีโอกาสรับรถ มารีวิว ก่อนใครเป็นแห่งแรกๆ ในประเทศไทย และรถที่เราได้รับมาเลขไมล์ 0 กม. !
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาดู รีวิว GPX Legend 250 Twin กันเลยดีกว่าครับ
All-New GPX Legend 250 Twin นั้นด้วยความที่เป็นชื่อตระกูลว่า Legend ดังนั้น มันจึงมีรูปลักษณ์ในสไตล์คลาสสิค ตามแบบรุ่นพี่ แต่ได้รับการปรับปรุงพัฒนา ให้ดูดียิ่งกว่าเดิม
เริ่มที่โคมไฟหน้าทรงกลมเอกลักษณ์ประจำตัวของ Legend โดยเป็นโคม LED มาพร้อมแถบ DRL ดูสวยงามทันสมัย
บริเวณบาลานซ์โช้ก จะมีป้าย GPX ติดตั้ง ซึ่งมาพร้อมกับ โลโก้รูปแบบใหม่
ส่วนไฟท้ายจะเป็นแบบโคม LED ไฟกลมเช่นกัน ซึ่งดูรับกันดีกับไฟหน้า และไฟเลี้ยว
มาตรวัดทรงถ้วยกลม แบบ Full Digital
ถังน้ำมัน ความจุ 14.5 ลิตร ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมโลโก้ “Legend” สะท้อนภาพพรีเมี่ยม
นอกจากนี้ มีการติด Tank Pad เพื่อให้เวลาขี่แล้ว ต้นขาหนีบกระชับกับตัวถังได้ดียิ่งขึ้น
ฝาครอบแบตพลาสติก ดีไซน์สวยงามไม่แพ้รถยุโรป พร้อมคำว่า 250 Twin
เบาะตอนเดียว แยก 2 ชั้น ผู้ขี่และผู้ซ้อน วัสดุหุ้มจะแตกต่างกัน นอกจากนี้เบาะผู้ซ้อนช่วงจะสั้นไปนิด
ทางด้านใต้ จะมีเหล็กแท่งชุมโครเมียม เป็นมือจับกันตก
ทางซับเฟรมด้านท้ายของตัวรถ GPX เก็บรายละเอียดมาได้ดี คือ ติดตั้งตัวล็อกหมวกมาให้เลย
ขึ้นมาช่วงแผงคอบน จะพบว่าแฮนด์เป็นแบบจับโช้ก
กระจกทรงกลมติดตั้งปลายแฮนด์ตามสไตล์ของ Legend 200
จุดสวิทช์แฮนดซ้าย-ขวา จะเหมือนกับรถ GPX รุ่นอื่นๆ ฝั่งซ้าย ไฟเลี้ยวใช้ดันเลื่อน และต้อง ดันคืนกลับมาตำแหน่งตรงกลาง ส่วนฝั่งขวา มาพร้อมไฟฉุกเฉิน และไฟหน้าจอมาตรวัด แต่ไม่มี Kill Switch มาให้
ท่อไอเสียทรง Megaphone ให้ซุ่มเสียงที่ทุ้มนุ่มๆ
บังโคลนหน้าสไตล์วินเทจ พร้อมขาจับแบบเหล็กชุบโครมเมียม
พักเท้าผู้ขี่ และผู้ซ้อนพับได้ แต่พักเท้าผู้ขี่ไม่มีสปริงดีดกลับ
สำหรับมิติรถ
ยาวxกว้างxสูง : 2,040 x 800 x 1.040 ม.ม.
ความสูงเบาะ 790 มม.
น้ำหนักตัว 154 กก.
ด้วยความที่เป็นแฮนด์สไตล์จับโช้กจึงทำให้ท่านั่งนั้นดู ต้องคร่อมหมอบทิ้งตัวไปด้านหน้าเสียหน่อย ทำให้ขี่ไกล อาจเมื่อยสักเล็กน้อย สำหรับการขี่มุดรถติด ที่จริงแล้วด้วยตำแหน่งแฮนด์ มันควรที่จะมอบมุดหลบช่องกระจกรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยความที่กระจกติดปลายแฮยด์ทรงกลม นั่นจึงอาจทำให้การมุดซอกแซก ต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น
ตัวเบาะนั่ง 790 มม. นั้นก็ถือได้ว่าความสูงอยู่ในเกณฑ์ปกติกับรถสไตล์นี้ ซึ่งก็ไม่ถือว่าสูงมาก
ผู้ทดสอบสูง 175 ซม. สวมรองเท้าบูท นั่งเหยียบขาได้เต็มเท้า พองอเข่าได้สบายๆ ดังนั้นผู้ที่สูงประมาณ 160 กว่าๆ ก็ยังสามารถขี่ได้อย่างไม่ยากเย็น
ในขณะที่ช่วงถังน้ำมันนั้น ที่มี Tank Pad ที่เป็นแถบยางที่มีความหนาเพิ่มเข้ามา ช่วยเสริมภาพคลาสสิคได้เป็นอย่างดี
แต่ผู้ทดสอบ มองว่ามันดูจะติดๆ ขัดๆ กับหัวเข่าไปหน่อย ซึ่งส่วนตัวผู้ทดสอบชอบฟีลลิ่งแบบไม่มี Tank Pad มากกว่า
ส่วนตำแหน่งวางเท้านั้นวางลงตรงกลางลำตัวเช่นเดียวกับรถคลาสสิค คันอื่นๆ ก็ยังถือว่านั่งได้สบาย ไม่ต้องงอขาเยอะ เดินทางไกลก็ไม่ทำให้เมื่อยขาแต่อย่างใด
จุดสังเกตุหนึ่ง คือ พักเท้าที่พับได้ แต่ไม่ดีดกลับ ทำให้เวลาเราเตะขาตั้งขึ้น ซึ่งหากผู้ที่ใช้ส้นเท้าเตะพักเท้าขึ้นมักจะไปโดนตำแหน่งพักเท้าพับขึ้นไปด้วย และเมื่อขี่ออกตัวไปเราจะเอาเท้ามาวางตำแหน่งพักเท้าก็ จะมีเหวอๆ กันบ้างเพราะ พักเท้าถูกพับเข้าไปแล้ว ซึ่งจุดนี้น่าจะให้สปริงดีดกลับมาด้วย
ด้านตำแหน่งผู้ซ้อนนั้น ด้วยตัวเบาะ Layer ของคนซ้อนนั้นดูจะช่วงสั้นไปเสียหน่อย แต่อย่างไรก็ดีสามารถเขยิบร่นตำแหน่งขึ้นมาข้างหน้าได้ เนื่องจากไม่ได้มี Step ที่ยกสูงออกจากกันมากนัก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะตกรถ ขณะที่มือจับกันตก มีตำแหน่งยึดเข้ากับโช้กหลัง และเฟรมลายยาวไปบรรจบกันอีกข้าง ทว่าด้วยตำแหน่งที่ต่ำเกินไปนิด ทำให้ผู้ซ้อนอาจจะรู้สึกจับได้ไม่ถนัดเท่าไหร่นัก รวมไปถึงมือผู้ซ้อน จะติดกับช่วงไฟเลี้ยวหลัง
ขุมพลังเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 4 จังหวะ SOHC ที่เรียกได้ว่าเป็นเครื่องบล็อกแรกของค่าย มีเทคโนโลยี GPX Fi (จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด) มีขนาดความจุ 234cc ระบายความร้อนด้วยอากาศ พร้อมเสริมการติดตั้งแผงออยคูลเลอร์ขนาดใหญ่จนแทบจะนึกว่าเป็นแผงหม้อน้ำ เลยก็ว่าได้ ซึ่งแน่นอน มันช่วยเรื่องของการระบายความร้อนได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วย
เริ่มตั้งแต่กำคลัทช์ ติดเครื่องยนต์ ด้วยองศาการจุดระเบิด 360 องศา โทนเสียงทุ้มๆ นุ่มๆ แน่นๆ ฟังดูสุขุมผู้ดี
ในด้านของพละกำลังเราพบว่า ด้วยสไตล์เครื่องแบบคลาสสิค ที่ไม่ใช่เครื่องรอบจัดแบบรถสปอร์ต สังเกตุได้ว่ามี Redline ที่ 8,000rpm เท่านั้น พละกำลังอาจจะไม่ได้แรงแบบดุดันนัก สไตล์มาแบบนิ่มๆ มาเรื่อยๆ ซึ่งช่วงความเร็วต้นอาจไม่ได้จี๊ดจ๊าด แต่ความเร็วช่วง 80 กม./ชม. ขึ้นไปก็ยังไหลมาได้แบบเรื่อยจนถึงระดับ 140 กม./ชม. ซึ่งก็ถือว่า เพียงพอสำหรับการใช้งานเดินทางไกล แล้ว
ชมคลิป Top Speed GPX Legend 250 Twin
แม้จะเป็นเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยอากาศ แต่ดีไซน์ ที่เป็นครีบของตัวล็อกเครื่องยนต์ จึงช่วยรีดอากาศได้ดี ร่วมกับ Oil Cooler ขนาดใหญ่ นั่นจึงทำให้ไม่พบไอร้อนมากนัก
ด้านระบบส่งกำลังนั้น ในส่วนของคันเกียร์ ต้องถือว่า GPX ได้มีการพัฒนา เรื่องการเตะเข้าเกียร์ทำได้กระชับดียิ่งขึ้น และเกียร์ไม่แข็งเหมือนเดิมแล้ว
ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบหัวกลับ Up Side Down ขณะที่ระบบกันสะเทือนหลัง โช้กอัพแก้สคู่ แบรนด์ไทยปรับค่าสปริงพรีโหลดได้ แบบเกลียวสตรัท วางบนสวิงอาร์ม
การใช้งานจริงพบว่า ระบบกันสะเทือนถือว่าทำหน้าที่ได้ดี เลยทีเดียว โช้กอัพหน้า USD ช่วยซับแรง บนนผิวถนนเมืองไทย ที่ไม่ราบเรียบได้เป็นอย่างดี ขี่ผ่านหลุม หรือ รอยต่อทางรถไฟ เรียกว่าแรงสะเทือนขึ้นแฮนด์ค่อนข้างต่ำ ขณะที่จังหวะเบรกหนักๆ ช่วงยุบโช้ก ก็มีความหนืดที่เหมาะสม ไม่พบอาการดีดเด้งคืนตัว จนทำให้ควบคุมลำบาก
โช้กหลังแก้ส ก็ถือว่าทำงานได้อย่างเหมาะสม สัมพันธ์กันกับด้านหน้า นอกจากนี้ สามารถปรับสตรัทแบบเกลียวได้อย่างละเอียด เรียกได้ว่าปรับเซ็ทได้ตามน้ำหนักของผู้ขี่ได้หลากหลาย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอัพเกรดโช้กหลังต่อ
ระบบเบรก ดิสก์ทั้งหน้า-หลัง
ด้านหน้าจานดิสก์คู่ พร้อมคาลิปเปอร์ 2 สูบ
ด้านหลังจานดิสก์เดี่ยว พร้อมคาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ
การใช้งานจริง ต้องบอกว่าปั๊มเบรกหน้าทำงานได้ค่อนข้างประทับใจเลยล่ะ ปั๊มบน ให้การไล่น้ำหนักของตัวน้ำมันดีขึ้นกว่า GPX รุ่นก่อนหน้า ในหลายๆ รุ่น ทำให้เราเบรกได้ อย่างนิ่มนวล ตามใจนิ้วสั่งมากขึ้น ไม่รู้สึกว่าทื่อ และเมื่อเราเบรกหนักมากๆ บางจังหวะถ้าเบรกหลังช่วยด้วย อาจมีอาการล้อลอยเอาได้ เรียกว่าเบรกหน้าหนึบเอาอยู๋มั่นใจได้
ส่วนเบรกหลังปั๊ม 1 ลูกสูบก็จริง แต่ลูกสูบขนาดค่อนข้างใหญ่ ก็ถือว่าเบรกได้อย่างมีน้ำหนักดี ทีเดียว แต่ก็อย่างที่บอก ลูกสูบใหญ่ หากกดน้ำหนักมาเกินไปเสียหน่อย อาจต้องระวังล้อหลังล็อกได้
นอกจากนี้ GPX ยังเก็บรายละเอียดดี อีกเช่นกัน ก้านเบรกเท้า ออกแบบให้มีแง่ง เพื่อป้องกันปลายเท้าเข้าขยับเข้าไปติดกับแคร้งเครื่องยนต์
นอกจากนี้ ในเรื่องของสายเบรก ถือว่า GPX ลงทุน ให้สายมาเป็นสายถัก กันเลย (สายถักที่ติดตั้งมาจากโรงงาน ส่วนใหญ่จะพบบนรถสมรรถนะสูง และมีราคาแพงอย่าง Superbike) ซึ่งปกติรถทั่วๆไป จะให้มาเป็นสายยาง ข้อดีคือ ของสายถัก นอกจาเรื่องความสวยแล้ว มันยังช่วยให้การส่งน้ำมัน ทำได้สม่ำเสมอกว่าสายยาง เพราะ ยางมีโอกาส ขยาย ตัวเมื่ออุณหภูมิร้อน
ขณะที่ตัวยาง เป็นของ Vee Rubber ซีรีย์ ลายยางเป็นยางสไตล์ Vintage ด้านหน้าสวมไซส์ 110/90/17 ด้านหลัง 130/90/17
ถือได้ว่าเป็นยางแก้มสูง การขี่ใช้งานบนถนนทั่วๆไป การยึดเกาะ ถือว่า ok เลย แต่ถ้าฝนตกถนนเปียก หรือ เจอช่วงแถบสีขาว ที่เป็นช่วงรอยต่อถนน ด้วยหน้ายางที่เป็นสไตล์ยางวินทจ
จุดนี้ อาจจะต้องระมัดระวังในการขี่มากยิ่งขึ้น
สรุปแล้ว รีวิว GPX Legend 250 Twin
ถือได้ว่าเป็นรถสไตล์ คลาสสิค ที่ผสมผสานกับความสวยงามในแบบโมเดิร์น ได้อย่างลงตัว นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงามสะดุดตาแล้ว ในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่ก็ทำได้ดีสมราคา ที่สำคัญ ถือเป็นรถคลาสสิค พิกัด 250cc แบบ 2 สูบเรียง ที่ราคาย่อมเยาที่สุด
ดังนั้นหากคุณกำลังมองหารถคลาสสิค ที่จะขี่ได้หล่อๆ และซุ่มเสียงที่นุ่มๆ แล้วล่ะก็ Legend 250 Twin คันนี้ ตอบโจทย์คุณแน่นอน
สำหรับราคาค่าตัวของ All-New GPX Legend 250 Twin ราคา 79,500 บาท มี 3 สี ให้เลือก ได้แก่ แดง , ดำด้าน , ดำเงา
พร้อมของแถม Gift Set ให้อีกด้วย
ภณ เพียรทนงกิจ Test Drive + Writer
รณกฤต ลิมปิชาติ Co-Test Drive + Photo
สุภิญญา ชำนาญกุล VDO
อ่านรีวิว อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าวสาร GPX เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ