กว่าจะเป็น Nicky Hayden #69 ยอดนักบิดขวัญใจมหาชน มาชมชีวประวัติของยอดนักบิดฉายา The Kentucky Kid กันครับ

เราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่าเวลาเกือบทั้งชีวิตของเค้าถูกใช้ไปกับการแข่งขัน โดยหลังจากที่เค้าลืมตาดูโลกในปี ค.ศ. 1981 เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้นเค้าก็เริ่มสัมผัสและได้รู้จักกับรถมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรกด้วยอายุเพียง 3 ขวบ ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของชายที่มีชื่อว่า “Nicky Hayden – The Kentucky Kid”

Nicky เกิดวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ 1981 และบ้านเกิดของเค้าคือเมืองโอเว่นส์โบโร่ รัฐเคนตักกี้, ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมี Earl แล Rose Hayden พ่อแม่ของเค้าเป็นนักแข่งทางฝุ่นทั้งคู่ ทำให้เลือดของเค้านั้นเกิดมาเพื่อซิ่งอย่างแท้จริงเช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสอง Tommy และ Roger Lee Hayden

การแข่งขันครั้งแรกในชีวิตของเค้าเกิดขึ้นตั้งแต่เค้าอายุเพียง 5 ขวบ โดยมีพี่ชายอีก 2 คนเป็นคู่แข่งซึ่งการแข่งขันครั้งนั้นยังได้จัดขึ้นที่สนามของครอบครัวของเขาเอง หลังจากนั้นไม่นาน Nicky ก็เริ่มเข้าร่วมการแข่งขัน Minibike, 125s (สปอร์ต 2 จังหวะ 125cc), ตามด้วยการแข่งขันแบบ Club Race และนี่ถือเป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าสู่การแข่งขัน AMA หรือการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา

การเข้าสู่การแข่งขัน AMA ของเค้านั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาลของปี 1997 ซึ่งขณะนั้นเค้ามีอายุแค่เพียง 16 ขวบเท่านั้น และได้ลงแข่งให้กับ Suzuki เป็นเจ้าแรกในรุ่น AMA 750 ต่อมาในปี 1999 ทาง Erion ทีมจาก Honda ก็ได้ติดต่อให้เค้าเป็นนักบิดในสังกัด ซึ่งเค้าก็สามารถทำสถิติผู้ชนะที่อายุน้อยที่สุดของคลาส AMA 600 Supersport

หลังจากนั้นในปี 2000 ก็เลื่อนขั้นเป็นนักแข่งคลาส Superbike ของทีมโรงงาน Honda โดยมีผลงานในตารางคะแนนสะสมเป็นลำดับที่ 2 ในปีแรก และลำดับที่ 3 ในปี 2001 ส่วนในปี 2002 เค้าก็สามารถบันทึกสถิติการเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดอีกครั้ง แต่เป็นในนามของแชมป์รุ่น Superbike จนเค้าได้รับสิทธิ Wildcard เพื่อทำการแข่งขันกับนักบิดชื่อดังทั่วโลกในการแข่งขัน WSBK ที่สนามลากูน่า เซก้า ซึ่งผลงานของเค้าก็ถือว่าทำได้ดีทีเดียวจนกระทั่ง..

หลังจบการแข่งขัน AMA ฤดูกาล 2002 ทาง Honda ก็ได้ประกาศว่าเค้าคือนักบิดที่จะทำการแข่งขันร่วมกันทีมเมทสุดฮ็อตในเวลานั้น นั่นก็คือ Valentino Rossi ในสีเสื้อของ Repsol Honda Team หรือก็คือเค้าได้กลายมาเป็นนักแข่งรายการ MotoGP แล้วเรียบร้อยนับแต่นั้น แถมยังเป็นทีมโรงงานตั้งแต่ปีแรกที่ลงแข่งขันซะด้วย

และแน่นอนว่าเค้าสามารถเป็น Rookie Of The Year ได้ทันทีหลังจบฤดูกาลนั้น โดยส่วนนึงก็เป็นเพราะการขึ้นโพเดี้ยมถึง 2 ครั้งในปี 2003 แต่น่าเสียดายที่ในปี 2004 เค้าประสบอุบัติเหตุจนกระดูกไหปลาร้าหัก และจบด้วยอันดับที่ 8 ตามหลัง Alex Barros นักบิดเลือดแซมบ้าทีมเมทคนใหม่ที่เข้ามาแทนตำแหน่งของ Rossi ที่ย้ายไปควบ YZR-M1 ของ Yamaha และฉลองแชมป์สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ ในการแข่งขัน MotoGP

โดยในปี 2006 ถือได้ว่าเป็นปีทองของเค้าเลยทีเดียว เพราะนี่คือปีที่เค้ามีฟอร์มการแข่งขันแบบคงเส้นคงวาตลอดฤดูกาลจนมีคะแนนสะสมคู่คี่กับ Rossi ที่กำลังมีแผนจะฉลองแชมป์สมัยที่ 6 อยู่ แต่แล้วในสนามรองสุดท้าย ความฝันของเค้าก็เกือบสูญสลายไป เมื่อ Dani Pedrosa พ่อใหญ่จิ๋วทีมเมทคนล่าสุดของเค้าขณะนั้นเกิดพลาดและเสียบเข้ากลางลำตัวรถของ Nicky จนทำให้ไม่สามารถจบการแข่งขันและได้ 0 แต้มไปในทันที ส่งผลให้แต้มของ Rossi นำเค้าอยู่ 8 แต้มซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่จะกู้อันดับคืนจากนักบิดเจ้าตำนานรายนี้ได้ทันเพราะเหลืออีกเพียง 1 สนามให้เก็บแต้มเท่านั้น

แต่แล้วก็เหมือนฟ้าจะเป็นใจเมื่อจู่ๆ Rossi ก็เกิดพลาดในสนามสุดท้ายนี้เช่นกัน และต้องออกไปจากการแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย และท้ายที่สุด Nicky ก็สามารถขี่ประคองตัวเองไปเรื่อยๆจนจบอันดับที่ 3 ของสนามนั้น พร้อมกับฉลองแชมป์ปี 2006 ทั้งน้ำตา และหยุดสถิติแชมป์ต่อเนื่องของ Valentino Rossi 5 สมัยไว้ได้แบบช็อคโลก ทั้งๆที่ในฤดูกาลนั้นนักบิดหมายเลข 69 ชนะการแข่งขันแค่เพียง 2 ครั้งเท่านั้นจาก 17 สนาม (ส่วนสนามอื่นเป็นได้แค่พระรอง แต่ก็เป็นพระรองที่ขึ้นโพเดียมถึง 10 สนามด้วยกัน)

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้งในการแข่งขัน MotoGP เมื่อทาง Dorna ได้สั่งปรับลดความจุตัวแข่งลงให้เหลือเพียง 800cc จากเดิมที่ตั้งไว้ให้ไม่เกิน 1000cc ซึ่งมันดูเหมือนว่า Nicky จะไม่ค่อยถูกโฉลกกับ RC212V คันนี้ซักเท่าไหร่ จนจบอับดับที่ 8 ในปี 2007, อันดับที่ 6 ในปี 2008

ต่อมาในปี 2009 Nicky ก็จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 13, อันดับที่ 7 สองครั้งในปี 2010 และ 2011, อันดับที่ 5 ในปี 2012 และสุดท้ายอันดับที่ 9 ในปี 2013 ซึ่งทั้งหมด 5 ปีนี้ เป็นผลงานที่เกิดขึ้นขณะอยู่กับทีม Ducati ทั้งหมด

ในปี 2014 นักบิดหมายเลข 69 รายนี้ก็กลับมาสู่บ้านเก่าที่ตนได้แจ้งเกิดอีกครั้งนั่นก็คือ Honda แต่ในบทบาทของทีมรุ่น Open ไม่ใช่ทีมโรงงาน โดยมี RCV1000R เป็นรถคู่ใจ และจบด้วยอันดับที่ 16 ของตารางคะแนน ส่วนในปี 2015 เขาได้สิทธิ์ในการควบรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ที่เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดของคันก่อนหน้าอย่าง RC213V-RS

แต่แค่นั้นมันก็ยังดีไม่พอจนเค้าจบด้วยอันดับที่ 20 เท่านั้นสำหรับฤดูกาลสุดท้ายของเค้าในบทของนักแข่งรายการ MotoGP เนื่องจากในปี 2016 Nicky จะต้องย้ายไปแข่งขันในรายการ WSBK อีกครั้งหลังห่างหายไปเกือบ 15 ปี ในนามของ Ten Kate Honda Racing Team

อย่างไรก็ตามในปีดังกล่าวของ Nicky ด้วยฟอร์มการขับขี่ที่ยังพอไว้ใจได้หลังชนะการแข่งขันที่เซปัง มาเลเซีย ทำให้เขาได้รับเลือกให้กลับมารับบทมือปืนรับจ้าง (Wildcard) แข่งขันในรายการ MotoGP สนามที่ 14 เพื่อเก็บแต้มประเภททีมผู้ผลิตให้กับ Honda แทน Jack Miller สังกัด Marc VDS ที่บาดเจ็บไปก่อนหน้านี้ และอีกครั้งในสนามที่ 16 ซึ่งนี่ถือเป็นการรับบทนักบิดสังกัด Repsol Honda ครั้งสุดท้าย (ที่ไม่มีใครคาดคิด) ของนักบิดรายนี้

ต่อมาในปี 2017 Nicky เริ่มตั้งเป้าอีกครั้งเพื่อเป็นบุรุษที่สามารถคว้าแชมป์จาก 2 รายการยักษ์ใหญ่กับระดับโลกอย่าง MotoGP (ที่ตนเองเป็นแชมป์มาแล้ว) และ WSBK (ที่ตัวเองยังไม่เคยเป็น) ได้เป็นคนแรกของโลก แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นดังที่ตนคิดเมื่อ Honda ไม่สามารถส่งมอบ CBR1000RR โฉมปี 2017 ให้กับทีมได้เร็วพอ จนทำให้การปรับตัวเข้าหาตัวแข่งคันใหม่นั้นไม่สามารถทำได้ทัน และมีคะแนนสะสมในตารางเป็นลำดับที่ 13 เท่านั้นหลังผ่านไปได้ 5 สนาม โดยอันดับในสนามที่ดีที่สุดก็คือการเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 7 ที่สนามช้างอินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิตของไทยเรานี่เอง

และล่าสุดในวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อได้มีข่าวออกมาว่า The Kentucky Kid ได้ประสบอุบัติเหตุรถชน และได้รับการกระทบกระเทือนที่ศรีษะอย่างรุนแรงขณะปั่นจักรยานเพื่อผักผ่อนหลังจบการแข่งขันที่อิตาลี จนกระทั่งวันที่ 22 พฤษภาคม เวลาประมาณ 5 ทุ่มที่ผ่านมา แทบทุกสื่อทั่วโลกได้ยืนยันแล้วว่า Nicky Hayden ได้เสียชีวิตลงแล้วท่ามกลางครอบครัวที่มาเฝ้าไข้และหวังให้เค้าฟื้นกลับมาแต่ก็ไม่สำเร็จ

สุดท้ายนี่พวกเรา Motorival ของแสดงความเสียใจกับการจากไปของนักบิดหมายเลข 69 ในตำนานผู้ที่แสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษตลอดเวลาไม่ว่าจะนอกหรือในสนามอย่าง “Nicky Hayden – The Kentucky Kid”