ในปัจจุบันนี้การแข่งขันกันในตลาด Bigbike ทั้งแบรนด์ญี่ปุ่น และยุโรปถือว่าสูงมาก ต่างทำราคาเพื่อดึงดูดผู้บริโภคกัน เป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ารถในคลาส Middle Weight (650cc) ได้มีการเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ภายหลังจากที่ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ (ค่ายเขียว และแดง) ได้ประกอบรถคลาสนี้ภายในประเทศ (CKD) ขึ้นมา โดยมีระดับราคาอยู่ที่ราว 3 แสนบาท แต่ในวันนี้เราขอแนะนำรถในคลาสนี้อีก 1 แบรนด์ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน (CBU) อย่าง Suzuki
ซึ่งในวันนี้ทาง MotoRival เราขอมารีวิว Suzuki Gladius 650 (SFV) และ Suzuki V-Strom 650 (DL650) คู่หู V-Twin ในรูปโฉม Naked และ Touring Bike
รูปลักษณ์
Suzuki Gladius 650 (SFV) เป็นรถแบบ Naked Touring มีไฟหน้าทรงรี ไฟท้ายรูปทรงคล้าย V-Strom 650 แต่จะมีความโค้งมนมากกว่า ทำให้มันดูเป็นรถที่รูปทรงดู Out ไปบ้างเมื่อเทียบกับรถจากค่ายอื่นๆ กรอบไฟเลี้ยวแบบใส ทรง 6 เหลี่ยม เบาะนั่งตอนเดียว ช่วยให้ผู้ซ้อนและผู้ขี่นั่งได้อย่างสะดวกสบาย ในคันนี้ใช้เฟรมถักสีดำ ที่ดูกลืนไปกับตัวถัง กรองน้ำมันเครื่องที่เป็นกระปุกยื่นออกมาบริเวณคอท่อด้านหน้า ดูรำคาญตาไปเสียหน่อย ขณะที่ท่อไอเสียออกข้างมีช่องระบายไอเสีย 2 ช่อง (ช่องล่างหลอก) ให้เสียงที่แน่นทรงพลังของขุมพลัง V-Twin
Gladius มีมิติ กว้างxยาวxสูง = 760×2,130×1,080 มม. มีความสูงเบาะเพียง 785 มม. และน้ำหนักตัวเพียง 205 กก. ในรุ่น ABS คันนี้ นอกจากนี้แฮนด์บาร์ที่แคบ ช่วยให้ตัวรถขี่ได้ง่าย เป็นมิตรกับผู้ขี่ในหลากสรีระ แถมคล่องตัวเหมาะแก่การใช้งานในเมือง ในยามที่จราจรติดขัดสามารถมุดช่องว่างระหว่างรถได้แทบไม่ต่างจากรถเล็ก สำหรับถังน้ำมันมีความจุที่ 14.5 ลิตร
แผงแดชบอร์ด มาตรวัดความเร็วเป็นตัวเลขดิจิตัลทาง แสดงผล ODO มีปุ่ม Set Trip 1,2 และระยะทางคงเหลือที่วิ่งได้ ไม่มีแสดงผลอัตราสิ้นเปลืองและเกจ์วัดน้ำมัน มาตรวัดวงกลมเป็นวัดรอบเครื่องแบบเข็ม มีไฟบอกเกียร์ให้อีกด้วย ด้านสวิชท์ไฟซ้ายมีไฟ Pass และสวิชท์ไฟฉุกเฉินติดตั้งมาให้ด้วยเช่นกัน
Suzuki V-Strom 650 เป็นรถสไตล์ Touring Bike มีแฟริ่งด้านหน้าที่โค้งมน โดยใส่ไฟหน้าคู่รูปทรงตาหวาน มีวินชิลด์ด้านหน้ายกสูง แบบ 2 ชั้นสามารถยกปรับระดับได้อีกเล็กน้อย ช่วยให้การขับขี่เดินทางไม่ต้องทนกับลมปะทะกาย
ทางด้านท้ายไฟท้ายที่มีรูปทรงใกล้เคียงกับ Gladius แต่จะมีความเหลี่ยมมากกว่า ไฟเลี้ยวกรอบสีส้มทรงลูกศร ขณะที่กระจกมองข้างรูปทรงเหลี่ยมเชย แต่ทว่ามันได้ออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานโดยแท้จริง มองเห็นมุมภาพที่ชัดเจน ไม่ได้เพียงแต่เน้นดีไซน์กระจกที่สวยงามแต่ มุมมองกระจกนั้นช่างแคบเหลือเกิน
เบาะนั่งชิ้นเดียวแยก 2 ระดับ โดยตำแหน่งผู้ขี่จะเว้าเตี้ยลง แม้จะเตี้ยลงแต่ทว่าตัวเบาะที่ดูกว้าง และมีความสูงที่ระดับ 835 มม. ทำให้ผู้ทดสอบ ที่มีส่วนสูง 174 ซม. ที่สวมรองเท้าผ้าใบ ยังเหยียบเท้าได้ไม่เต็มเบาะดีนัก
ทางด้านท้ายของเบาะได้ติดตั้งแร็ควัสดุเรซิ่นเอาไว้วางสัมภาระเพื่อรองรับการเดินทางไกล ขณะที่ทรงท่อไอเสียแบบยกสูง และล้อหน้าขนาด 19” บ่งบอกชัดว่ามันเกิดมาเป็นรถ Adventure Touring ขาลุยโดยแท้
V-Strom 650 มีมิติ กว้างxยาวxสูง = 835×2,290×1,405 มม. ความสูงเบาะ 835 มม. น้ำหนักตัว 214 กก. พร้อมถังน้ำมันจุ 20 ลิตร เพื่อรองรับการเดินทางไกล สำหรับรถทดสอบคันนี้ได้ติดตั้ง Crash Bar ที่ป้องกันบริเวณปีกด้านข้างตัวรถมาให้ด้วย
ชุดมาตรวัดกรอบวัดรอบเครื่องแบบเข็มทรงกลมล้อมรอบด้วยจอแสดงผลดิจิตอล ที่บอกความเร็วเป็นตัวเลข, บอกตำแหน่งเกียร์, เกจ์วัดน้ำมัน, อุณหภูมิเครื่อง, เวลา, Odo, Trip 1-2, อัตราสิ้นเปลือง ขณะที่ชุดสวิทช์ไฟซ้ายตำแหน่งปุ่มที่เป็นไฟ Pass ใน Gladius จะใช้ควบคุม Meter (มาตรวัด) โดยไฟ Pass จะอยู่ในปุ่มเดียวกับไฟสูง
ทั้ง Gladius และ V-Strom ใช้ขุมพลัง V-Twin 90 องศา 2 สูบ DOHC ความจุ 645cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ
มีจุดต่างเล็กน้อยที่กำลังอัด Gladius 650 = 11.5:1 V-Strom 650 = 11.2:1
ส่งผลให้ Gladius มีกำลังสูงกว่าที่ 71 แรงม้า hp @ 9,000rpm และแรงบิด 63 Nm@7,600rpm
ด้าน V-Strom 650 มีกำลังที่ 66.6 แรงม้า (hp) @ 8,800rpm และแรงบิด 60 Nm @6,400rpm
เริ่มด้วยการติดเครื่องยนต์ทั้ง 2 คัน คุณจะต้องกำคลัชให้สุดทั้ง 4 นิ้ว ซึ่งน้ำหนักคลัชนั้นกำลังดี ไม่นิ่มไม่แข็ง สามารถขี่ใช้งานในเมืองได้โดยไม่เมื่อยนิ้วมือ แน่นอนว่าหลายคนที่อาจจะคุ้นชินกับคลาส 650 ที่ใช้แบบสูบเรียงมาแล้ว หากลองเบิลของ Suzuki 650 ดู จะพบว่าเครื่องบล๊อก V นั้นให้ซุ่มเสียงดุดัน และดูไพเราะน่าฟังยิ่งกว่า
ช่วยออกตัวในเกียร์ 1 ทอร์คมาหนักตามสไตล์รถ 2 สูบ Middle Weight อย่างตระกูล ER6 (แต่ไม่หนักหน่วงเท่า MT-07 ซึ่งเราอาจจะขอไม่เทียบกับ MT-07 โดยตรงนักเพราะถือว่าเป็นรถที่ Oversized 689cc) จุดที่น่าประทับใจกว่าคู่แข่งค่ายเขียวอย่างชัดเจน คือที่รอบต่ำเกียร์ 2 ซึ่งมักพบอาการสำลักของเครื่องยนต์นั้น คุณจะไม่พบอาการน่ารำคาญเหล่านั้นในเครื่อง V-Twin ของ Suzuki จนกว่าคุณจะใช้เกียร์ 3 ในการออกเคลื่อนตัวที่ความเร็วต่ำๆ ก็จะมีมาให้เห็นบ้างแล้ว นอกจากนั้นจุดที่น่าประทับใจของเครื่องบล๊อก V นี้ คือ คันเร่งที่สมูท เดินเรียบเนียน ทอร์คที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสม่ำเสมอ เครื่องยนต์ของ Gladius จะเริ่มเข้า Redline @10,500rpm ขณะที่ V-Strom จะอยู่ที่ 10,000rpm
ซึ่งการใช้งานนั้นด้วยแรงม้าที่ต่างกันอยู่เล็กน้อยของ Gladius อาจทำให้รู้สึกถึงความแรงและดุดันกว่าเล็กน้อยที่รอบเครื่องสูงกว่า ซึ่งมีผลร่วมกับรูปทรงรถ Naked ที่ลมปะทะลำตัวมากกว่าอีกด้วย
ขณะที่ V-Strom นั้นช่วงเร่งออกตัวไม่ได้ดูด้อยกว่า Gladius แต่อย่างใด ทอร์คที่แม้จะน้อยกว่าเพียง 3Nm แต่การที่มาไวกว่าส่งผลให้มันตอบสนองคันเร่งออกตัวได้ดีไม่แพ้กัน
ผู้เขียนได้มีโอกาสทดสอบ V-Strom หลักๆ การใช้งานแบบขี่ชิลๆ เน้นประหยัดน้ำมัน คุณสามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ที่ 3,000rpm ขณะที่หากต้องการอัตราเร่งแซง ใช้รอบเครื่องที่ไม่เกิน 7,000rpm ก็ถือว่ามีกำลังเพียงพอเหลือเฟือในการใช้งานเพื่อเร่งแซงในตัวเมือง ขณะที่การยืนพื้นออกเดินทาง ตจว. ด้วยความเร็วระดับ 100-110 กม. ช่วงนี้เรากลับพบอาการสั่นเล็กที่ช่วงแฮนด์ ซึ่งควรจะต้องใช้ความเร็วยืนพื้นในการเดินทางตั้งแต่ช่วง 120 กม./ชม. ขึ้นไปจะไม่พบอาการ หรือในช่วงประมาณ 100 กม./ชม.ลงมา
ขณะที่การขับแช่ที่ระดับความเร็ว 140-150 กม./ชม.นั้นก็ยังไม่เครียดจนเกินไป วินชิลด์ทรงสูงช่วยลดลมปะทะได้ดี แต่ก็อาจจะพบว่าในการยกระดับวินชิลด์ขึ้นสุดนั้น มันอาจบังสายตาผู้ขี่เล็กน้อย (ผู้ทดสอบมีส่วนสูง 174 ซม.)
ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองถือว่าทำได้ดีเกินคาด ตัวเลขโชว์อยู่สูงถึงระดับ 24 กม./ลิตร. ซึ่งจากการใช้งานจริงมันทำได้มากกว่าไม่ต่ำกว่า 22 กม./ลิตร อย่างแน่นอน ซึ่งหากเทียบกับคู่แข่งแล้ว ถือได้ว่าเครื่องยนต์บล๊อก V นี้ถือว่าทำได้ประหยัดกว่าแบบสูบเรียงเสียอีก จนเกือบจะเทียบเท่าเพดานคลาสรถ 500cc กันเลย
ระบบกันสะเทือน
Gladius 650 ใช้โช๊คอัพคู่หน้าแบบ Telescopic ขนาดแกน 41mm ด้านหลังเป็นแบบ Link Type พร้อมโช้คอัพเดี่ยวปรับ Spring Preload ได้ซึ่ง Gladius ถือเป็นรถที่เซ็ทอัพช่วงล่างมาได้อย่างเหมาะสมลงตัวแก่การใช้งานแบบ Street Bike โดยแท้ การใช้โช้คอัพหลังแนวตั้ว ช่วยให้ช่วงล่างมีความนิ่มนั่งได้สบาย ไม่ว่าจะเดินทางใกล้ไกล แต่เมื่อมีผู้ซ้อนท้าย เราพบว่ามันอาจจะย้วยไปเล็กน้อย ซึ่งอาจต้องปรับ Preload ให้แข็งขึ้น
ด้านยาง Dunlop Sportmax Qualifier ด้านหน้าไซส์ 120/70/ZR17 หลัง 160/60/ZR17 ซึ่งยางตัวนี้ถือเป็นยางสปอร์ตเกรดกลาง ให้การยึดเกาะได้ในระดับปลานกลาง การเทโค้งสำหรับ Gladius ที่มียาง 160 มม. ก็ถือว่าทำได้ไม่เลว เพียงแต่ว่า ลักษณะท่าทางการนั่งร่วมกับแฮนด์บาร์ที่ค่อนข้างแคบ อาจจะดูไม่เหมาะแก่การเล่นโค้งมากนัก แต่เราก็ชอบเพราะว่ามันให้ความคล่องแคล่วใช้งานในเมืองได้แบบรถ Bigbike สำหรับคนเมืองในอุดมคติเลยทีเดียว
V-Strom 650 ใช้โช๊คอัพคู่หน้าแบบ Telescopic ขนาดแกน 43mm ที่สามารถปรับ Preload ได้ที่หัวโช้ค ด้านหลังเป็นแบบ Link Type พร้อมโช้คอัพเดี่ยวปรับ Rebound และ Preload ได้โดยง่ายจากการบิดหมุนที่กระบอกทรงกลมที่ยื่นออกมาทางเฟรมด้านขวาตัวรถ ใช้สวิงอาร์มแบบอลูมีเนียมที่มีขนาดยาวกว่า Gladius แบบเห็นได้ชัด
ด้วยแกนโช้คที่มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย และรูปทรงรถแบบ Adventure Touring เราพบว่ามันมีระยะเคลื่อนตัวได้ดีกว่า Gladius และมอบความนุ่มนวลได้ดีกว่าอีกเล็กน้อย แถมเบาะนั่งหนานุ่มนั่งสบาย มันเป็นรถ Touring คลาส Middle Weight ที่นั่งสบายขี่สบายที่สุดที่เคยทดสอบมา
สำหรับล้อขนาด 19” ด้านหน้า และ 17” ด้านหลัง ที่สวมยาง Bridgestone Trail Wing ซึ่งเป็นยางรูปแบบ Dual/Enduro ด้านหน้าไซส์ 110/80R19 ยางหลังไซส์ 150/70R17 ซึ่งมันเหมาะแก่การนำไปขับลุยตามทางฝุ่นเป็นอย่างดี ด้วยยางหน้าที่แคบ 110 มม. ทำให้การหักเลี้ยวนั้นทำได้ ง่ายคล่องตัวหากคุณได้ขี่ในเมือง การเซาะช่องรถติด ก็ทำได้ไม่เลวนัก แม้รถจะดูคันใหญ่ก็ตาม แต่ด้วยระดับแฮนด์บาร์ที่สูงช่วยให้มันสามารถขับเลยผ่านกระจกรถยนต์ไปได้สบาย เว้นเสียแต่ถ้าคุณเจอ รถตู้, กระบะ, รถยกสูง นั่นอาจทำให้คุณติดเข้ากับกระจกมองข้างของรถเหล่านี้ได้
ระบบเบรก ABS
Gladius เบรกหน้าดิสก์คู่ ขนาด 290mm คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบจาก tokico และด้านหลังแบบจานเดี่ยวขนาด 240mm คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ จาก Nisin ซึ่งมาพร้อมระบบ ABS ทั้งหน้า-หลัง
V-Strom 650 เบรกหน้าดิสก์คู่ ขนาด 310mm คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบจาก tokico และด้านหลังแบบจานเดี่ยวขนาด 260mm คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ จาก Nisin ซึ่งมาพร้อมระบบ ABS ทั้งหน้า-หลัง
ซึ่งเราพบว่าจังหวะน้ำหนักในช่วงการลงเบรกนั้น ดูจะไม่ตอบสนองต่อนิ้วมือดีเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากระบบ ABS ที่ทำให้น้ำหนักเบรกดูไร้ชีวิตชีวา และส่งผลให้ระยะเบรกนั้นอาจต้องเผื่อเหลือเอาไว้ และต้องเพิ่มน้ำหนักที่แป้นเบรกเพิ่มเข้าไปอีก เมื่อเทียบกับการที่ผู้เขียนได้เคยทดสอบ Gladius ตัวไม่มี ABS นั้นพบว่าเบรกตอบสนองได้ดีในระดับที่ควรจะเป็น
ดังนั้นการใช้ Engine Brake ด้วยการลดเกียร์ ถือเป็นเป็นเรื่องสำคัญการควบ 2 คู่หู V-Twin ABS นี้
สรุป รีวิว Suzuki Gladius 650 Suzuki V-Strom 650 2 คู่หู V-Twin คลาส Middle Weight ที่เยี่ยมยอด ในด้านสมรรถนะการขับขี่ แม้หน้าตาอาจจะดูเชยกว่าใคร แต่การันตีสมรรถนะไม่เป็นรองแน่ รวมไปถึงอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ดีกว่าสูบเรียงเสียอีก ในขณะที่คุณอาจต้องพบเจอราคาที่สูงกว่า Middle Weight 4 สูบ จาก Honda อีกเล็กน้อย เนื่องจาก ทั้ง Gladius และ V-Strom ถือเป็นรถนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งคัน ซึ่งทำให้โดน + ภาษีเพิ่มเข้าไปด้วย แต่อย่างไรก็ดีในอนาคต ภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่นก็จะลดลงตามซึ่งเราคงต้องอัพเดทกันเมื่อถึงเวลานั้นกันอีกครั้ง
- รถนำเข้าจากญี่ปุ่น (CBU) ทั้งคัน
- ขุมพลังเครื่องยนต์บล๊อก V ที่ให้เสียงดุดัน แต่คงคันเร่งที่สมูท และอัตราสิ้นเปลืองที่ดี
- ระบบช่วงล่างที่เหมาะแก่การใช้งานเดินทาง ให้ความสบายผ่อนคลายดีเยี่ยมทั้งผู้ขี่ และผู้ซ้อน
- หน้าตา อาจจะดูไม่ทันสมัยเท่าคู่แข่งค่ายอื่น
- ระบบเบรก ABS ที่น่าจะปิดได้
ขอขอบคุณ Thai Suzuki สำหรับรถทดสอบ Suzuki Gladius 650 ABS สีดำ METALLIC MAT BLACK NO.2 / GLASS SPARKLE BLACK ราคา 3.19 แสนบาท
และ Suzuki V–Strom 650 ABS สีขาว Pearl Bracing White ราคา 3.5 แสนบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver & Photo
อำพล มูลทองสุข Co-Rider & Photo
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Suzuki อื่นๆได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ
รีวิว Suzuki Gladius 650 (SFV) Suzuki V-Strom 650 (DL650)
จุดเด่น
-รถนำเข้าจากญี่ปุ่น (CBU) ทั้งคัน
-ขุมพลังเครื่องยนต์บล๊อก V ที่ให้เสียงดุดัน แต่คงคันเร่งที่สมูท และอัตราสิ้นเปลืองที่ดี
-ระบบช่วงล่างที่เหมาะแก่การใช้งานเดินทาง ให้ความสบายผ่อนคลายดีเยี่ยมทั้งผู้ขี่ และผู้ซ้อน
จุดที่น่าปรับปรุง
-หน้าตา อาจจะดูไม่ทันสมัยเท่าคู่แข่งค่ายอื่น
-ระบบเบรก ABS ที่น่าจะปิดได้