รีวิว : All-New Honda CBR150R กับทริปทดสอบ กทม-เขาใหญ่ ระยะทางร่วม 400 กิโลเมตร

0

อย่างที่เพื่อนๆหลายคนทราบกันดีว่าเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่่ผ่านมาทางทีมงาน MotoRival เราได้รับเชิญจากทาง A.P. Honda ให้เข้าร่วมการทดสอบ All-New Honda CBR150R รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นทริปทดสอบระยะไกล ที่ต้องขี่รถจากศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยของ Honda ไป-กลับจากเขาใหญ่เป็นระยะทางร่วมราวๆ 400 กิโลเมตร

รีวิว 2019 Honda CBR150R
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมีนาคม เราได้เคยทดสอบเจ้า All-New CBR150R คันนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งที่สนามฝึกซ้อม Motor Sport Park สุวรรณภูมิ และเนื่องจากทริปทดสอบเขาใหญ่นี้มีรูปค่อนข้างน้อย เพราะขี่อย่างเดียว ดังนั้นเราจึงขอเล่าถึงฟีลลิงรวมถึงใช้ภาพตรงนั้นควบคู่ไปกับความรู้สึกตอนขี่ตัวรถพระเอกไปเขาใหญ่ของเราไปแบบพร้อมๆกัน มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

*ส่วนเพื่อนๆคนไหนที่อยากทราบจุดเปลี่ยนในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถ เชิญคลิกทีลิ้งค์ตรงนี้ได้เลยครับผม

2019 honda-cbr150r_09
เริ่มจากเครื่องยนต์บล็อคใหม่ของมัน ที่หากเทียบกับ CBR150R โฉมเก่า เราก็สามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า มันคือบล็อคใหม่หมดจด ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยสักนิด ทว่าอันที่จริงแล้วเครื่องยนต์บล็อคใหม่ใน 2019 CBR150R ที่ว่านี้ ก็คือบล็อคเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน CB150R คู่แฝดร่างแน็คเก็ทของมัน

ดังนั้น “ลักษณะของเครื่องยนต์” ใน 2019 CBR150R นี้ ก็จะถือว่ามีการเปลี่ยนไปแปลงไปโดยสิ้นเชิง จากตอนแรกในโฉมเก่า ตัวเครื่องยนต์สูบเดียวของมันจะเป็นแบบ “ลูกโต x ชักสั้น” 149cc ในโฉมใหม่นี้จะเปลี่ยนเป็นแบบ “ลูกเล็ก x ชักยาว” 147.3cc แทน (อ่านรายละเอียดเครื่องยนต์รวมถึงข้อมูลทางเทคนิคที่เปลี่ยนไปได้ที่นี่)และผลที่ได้ก็คือ อัตราเร่งในช่วงรอบต่ำตั้งแต่ออกตัวจนถึง ราวๆ 8,000 รอบ/นาที ตัวเครื่องยนต์สามารถตอบสนองและผลักดันตัวรถให้ทะยานออกไปข้างหน้าได้ดีมากๆ เรียกได้ว่าติดมือเลยทีเดียว เพราะมีแรงบิดสูงสุดให้เรียกใช้ถึง 13.7 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 7,000 รอบ/นาที

2019-honda-cbr150r-trip-khaoyai-02
ทว่าในขณะเดียวกัน กลับกลายเป็นว่าในช่วงรอบปลาย (ช่วงเกือบๆ 9,000 รอบ จนถึงเรดไลน์ที่ 10,500 รอบ/นาที) ตัวเครื่องยนต์ไม่สามารถไต่ความเร็วขึ้นไปได้กระฉับกระเฉงเท่าไหร่นัก ส่วนความเร็วสูงสุดที่ผู้ทดสอบทำได้ก็อยู่ที่ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงตามมาตรวัดเท่านั้น (ลบ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมงโดยประมาณ หากวัดจาก GPS) เนื่องจากรอบตัดแล้วเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันต่างจากโฉมก่อนหน้าพอสมควร เพราะโฉมเก่ายังมีรอบเหลือให้ลากต่อได้อีกถึงเกือบๆ 2 พันรอบ เมื่อทำความเร็วระดับเดียวกันนี้ที่เกียร์ 6 ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยจัดว่าประหยัดมากๆ เพราะอยู่ที่ราวๆ 46 กิโลเมตร/ลิตร (อ้างอิงตามข้อมูลบนมาตรวัด ซึ่งเมื่อคำนวนจริงแบบคร่าวๆแล้ว ถือว่าใกล้เคียงพอสมควร) แม้ว่าตัวผู้ทดสอบจะขี่แบบเค้นรอบมากก็ตาม

2019-honda-cbr150r-press-test-7
ด้าน“ท่านั่งรวมถึงการควบคุมตัวรถ” ที่ในสัมผัสแรกตอนผู้ทดสอบได้ลองนั่งคร่อมดูนั้น พบว่าตัวรถมีความเพรียวบางกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับ CBR150R รุ่นแรกมาก ทั้งในส่วนของความกว้างตัวเบาะเอง รวมถึงถังน้ำมันที่มีการบีบทรงตรงหว่างขาให้แคบลง ส่วนปลายเท้าทั้งสองข้างก็สามารถแตะพื้นได้สบายๆไม่ต้องกังวลอะไรเพราะเบาะสูงแค่เพียง 787 มิลลิเมตรเท่านั้น (ส่วนตัวผู้ทดสอบสูง 168 เซนติเมตร)

ในภาพนี้พี่สื่อที่ขี่รถอยู่ในรูปส่วนสูงเพียงราวๆ 160 เซนติเมตรเท่านั้น

ในภาพนี้พี่สื่อที่ขี่รถอยู่ในรูปส่วนสูงเพียงราวๆ 160 เซนติเมตรต้นๆเท่านั้น

ส่วนตัวแฮนด์บาร์ แม้ทาง A.P. Honda จะบอกว่าพวกเขาได้ให้วิศวกรปรับตำแหน่งความสูง องศา และระยะแฮนด์ใหม่ เพื่อให้ท่านั่งโดยรวมของผู้ขี่มีท่วงท่าตอนควบคุมในแบบสปอร์ตไบค์มากขึ้น แต่เมื่อลองจับแฮนด์ทั้งสองข้างแล้วลองโน้มตัวลงไปจริงๆ ส่วนตัวผู้ทดสอบกลับพบว่ามันยังคงให้ความรู้สึกเป็นกึ่งๆทัวร์ริ่งอยู่อย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงยังไงเจ้า CBR150R คันนี้ก็ต้องออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวันเป็นหลัก

2019-honda-cbr150r-trip-khaoyai-03
ดังนั้นหากต้องพลิกเลี้ยวตัวรถไปมาแบบเพื่อมุดช่องจรารจร หรือหลบหลุมร่อง ฝาท่อต่างๆ ก็ถือว่าด้วยลักษณะตำแหน่งแฮนด์แบบนี้ รวมถึงทรงถังน้ำมันและเบาะนั่งที่เพรียวบางแบบนี้ถือว่าเหมาะเป็นอย่างยิ่งถ้าจะใช้งานในเมือง เพราะตัวรถสามารถพลิกรถไปมาได้พลิ้วมากๆ ส่วนหนึ่งาอาจจะด้วยความที่ตัวรถเบาเพียง 137 กิโลกรัมเท่านั้น (น้ำหนักของรุ่น ABS ที่ตัวผู้ทดสอบได้ขี่) ขณะที่พอได้ลองใช้งานแบบขี่ท่องเที่ยวระยะไกลแล้วก็สามารถนั่งแช่ได้ยาวๆ ไม่พบอาการปวดเมื่อยหลังหรือข้อมือเลยสักนิด เนื่องจากระยะแฮนด์ค่อนข้างชิดกับตัวผู้ขี่ ทำให้ไม่ต้องโน้มไปข้างหน้ามากนัก หรือแทบจะหลังตรงเลยก็ว่าได้

ในขณะเดียวกัน ถ้าถึงเวลาที่ต้องหมอบ ด้วยความที่องศาแฮนด์ไม่ได้งุ้มลงต่ำมากนัก จึงส่งผลให้ช่วงท้ายทอยของตัวผู้ทดสอบเริ่มเมื่อยเมื่อต้องหมอบเป็นเวลานานๆ (ไม่เกิน 10 วินาทีก็เริ่มรู้สึกแล้ว) เนื่องจากช่วงหัวไหล่ทั้งสองข้างไม่ได้กดลงตามแนวตัว และปีกหลังของบีบเข้าหากันจนเกิดอาการเมื่อยที่บริเวณดังกล่าว (ถ้าเพื่อนๆที่เป็นสายหมอบน่จะเข้าใจอาการนี้นะครับ ว่าพอเราหมอบกับรถที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อหมอบมากๆ มันจะเป็นอย่างไร)

2019-honda-cbr150r-press-test-8
อย่างไรก็ดีในเรื่องของการโหนตัวรถเพื่อเอียงตัวรถเข้าหาโค้งก็ถือว่าไม่ตขิดตขวงใจอะไรนัก เพราะถ้าหากเทียบกับ CBR150R รุ่นเก่า ก็แน่นอนว่า การวางองศาแฮนด์บาร์ของรุ่นใหม่ให้ความรู้สึกพร้อมโหนทิ้งโค้งมากขึ้นตามที่ทางผู้ผลิตบอกจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นตำแหน่งพักเท้าเองก็จัดตำแหน่งใหม่ให้ถอยไปข้างหลัง และยกสูงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ทำให้ตัวผู้ขี่สามารถเอียงตัวรถได้เยอะกว่า เนื่องจากเซนเซอร์พักเท้าขูดพื้นยากขึ้นนั่นเอง

2019 honda-cbr150r_06
“ระบบเบรก”เองแม้ว่าด้านหน้าจะยังเป็นแบบโฟลทติ้งเมาท์ 2 พอร์ท ไม่ใช่แบบเรเดียลเมาท์ 4 พอร์ท เหมือน CB150R แต่เอาจริงๆ ด้วยประสิทธิภาพที่ตัวผู้ทดสอบสัมผัสได้ ถือว่าเท่านี้ก็เกินพอแล้วสำหรับการหยุดยั้งตัวรถที่หนัก 137 กิโลกรัม (และ 135 กิโลกรัมในรุ่นไม่มี ABS) กับเครื่องยนต์ 150cc กำลังสูงสุด 17.1 แรงม้าของมัน นอกจากนี้ในตัวรถที่ผู้ทดสอบได้ใช้ก็ยังมีระบบ ABS มาให้ ดังนั้นจึงหายห่วงไปได้เลยสำหรับการหยุดชะลอตัวรถ ทั้งแบบธรรมดา และแบบฉุกเฉิน (ในกรณีเบรกฉุกเฉิน ตัว CBR150R ใหม่นี้ จะมีระบบ E.S.S หรือไฟฉุกเฉนสว่างวาบขึ้นมาเพื่อแจ้งเตือนคนข้างหลังด้วย)

2019 honda-cbr150r_12
ด้าน“ระบบกันสะเทือน”ที่ในตอนแรกตัวผู้เขียนเองก็เสียดายไม่แพ้เพื่อนๆเช่นกันว่า ไหนๆก็เปิดตัวใหม่ทั้งที ทำไมถึงไม่ให้โช้กหน้าหัวกลับแบบเดียวกับที่ใช้อยู่ใน CB150R แล้วกลับยังเป็นแบบตะเกียบคู่ธรรมดาที่ดูแล้วไม่หล่อเหลาเท่าคู่แข่งคันอื่นๆเสียอย่างนั้น ? แต่พอผู้ทดสอบได้ลองใช้งานจริงๆแล้วกลับพบว่า ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่ทาง Honda ได้เพิ่มเข้ามาใน CBR150R รุ่นใหม่นี้อย่างการเพิ่มตัวปรับพรีโหลดหัวโช้กด้านหน้า และระบบกระเดื่องทดแรงที่ทำเพิ่มขึ้นมาเพื่อเสริมโช้กหลังที่สามารถปรับพรีโหลดได้ 5 ระดับนั้น ทำให้ตัวผู้ทดสอบต้องเปลี่ยนความคิด และคำสบประมาทที่ให้ไว้ในตอนแรกทันที

2019-honda-cbr150r-press-test-11
เพราะแม้รูปลักษณ์จะไม่โดดเด่นสะดุดตา แต่ด้วยการที่มันเอื้อให้ผู้ขี่สามารถเซ็ทความแข็งอ่อนของโช้กทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้ ทำให้เกิดความสนุกในการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นในตอนแรก ผู้ทดสอบมองว่า ถ้าเซ็ทโช้กให้มีความแข็ง/อ่อนประมาณนี้ ตัว All-New CBR150R จะเหมาะแค่กับการใช้งานในเมืองเท่านั้น เพราะตัวรถสามารถพลิกเลี้ยวได้ไว ซอกแซกไปมาได้คล่องตัว แต่กลับให้ความรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงตอนที่ต้องเบรกหนักๆเพราะโช้กยุบไว และถ้าสาดโค้งแรงๆ ก็จะไม่สามารถออกโค้งแบบนิ่งๆด้วยการเปิดคันเร่งเต็มที่ได้ เพราะช่วงท้ายพร้อมจะมีอาการย้วยค่อนข้างมากหากเลี้ยวด้วยความเร็วสูง

2019-honda-cbr150r-press-test-10
แต่พอตัวผู้ทดสอบได้ให้ ทีมช่างเข้ามาเซ็ทติ้งรถใหม่ด้วยการปรับความแข็งสปริงทั้งหน้าและหลัง ให้แข็งที่สุด ตัวผู้ขี่ก็สัมผัสได้ทันทีว่าฟีลลิงความรู้สึกของเจ้า CBR150R คันนี้นั้นเปลี่ยนไป เพราะมันสามารถรับแรงกดที่ล้อหน้าตอนเบรกหนักๆได้อย่างมั่นคง และสามารถเข้าโค้งได้นิ่ง มั่นใจสุดๆ ส่วนตอนเปิดคันเร่งออกโค้งนั้นอาจจะมีอาการย้วยอยู่บ้าง เพราะอย่างที่บอกว่าตัวผู้ทดสอบเองหนักถึง 90 กิโลกรัม แต่อย่างน้อยด้วยการเซ็ทติ้งโช้กหลังแข็งสุดแบบนี้ก็ทำให้ท้ายรถนิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับตอนแรกที่ไม่ได้ปรับเซ็ทอะไรเลย

2019-honda-cbr150r-press-test-2
สรุป All-New Honda CBR150R ที่มาพร้อมกับสโลแกนใหม่ว่า “The One Reborn” นั้น ถือว่าเป็นการเกิดใหม่ที่ค่อนข้างพลิกโจทย์ไปจากโฉมก่อนพอสมควร เพราะในภาพรวมมันมีนิสัยที่เหมาะกับการใช้งานในเมืองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์ในช่วงรอบต่ำที่ติดมือ ระบบกันสะเทือน, ฐานล้อ, แฮนด์บาร์ที่ออกแบบมาให้ผู้ขี่สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างคล่องตัว และขนาดตัวรถที่เน้นความเพรียวบาง ดังนั้นสำหรับเพื่อนๆที่เน้นใช้งานในเมืงเป็นหลักจึงน่าจะถูกใจกับเจ้านี่พอสมควร

ในขณะเดียวกัน ถ้าพูดถึงการใช้งานระยะไกล แม้ว่าท่านั่งจะมีความสะดวกสบายค่อนไปทางสปอร์ตทัวร์ริ่ง และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีจนน่าตกใจ เพราะในบางจังหวะถ้าขี่แบบล่องความเร็วไปเรื่อยๆ ผู้ขี่สามารถปั้นขึ้น 52 กิโลเมตร/ลิตร ได้เลยทีเดียว ถ้าใช้ความเร็วเฉลี่ยราวๆ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ด้วยความที่ยังไงเจ้า CBR150R คันนี้ก็มีขนาดความจุเครื่องยนต์ที่เล็กเพียง 147.3cc กับแรงปลายที่หายไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอัตราทดเกียร์ที่ไม่เน้นความเร็วปลาย ดังนั้นจึงยังไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นักที่จะใช้เดินทางไกลๆด้วยความเร่งรีบ เว้นเสียแต่ว่าเพื่อนๆจะใจรักและไม่หวั่นจริงๆกับการเดินทางที่ต้องใช้ระยะเวลานานๆ

2019 honda-cbr150r_25
สำหรับ All-New Honda CBR150R ในรุ่น STD ที่เป็นสีน้ำเงินด้าน กับ ดำด้าน มีราคา 92,000 บาท และในส่วนของ ABS ที่เป็นสีแดง A.P.Honda Racing และ สีส้ม Repsol จะขยับขึ้นมาอีกนิดเป็น 98,900 บาท ซึ่งถามว่ามันคุ้มหรือไม่อันนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับเพื่อนๆแล้วล่ะครับ ว่าจะมองที่มุมไหน และเน้นใช้งานมันอย่างไรกันแน่

ขอขอบคุณ A.P.Honda สำหรับกิจกรรมการทดสอบ All-New Honda CBR150R ในครั้งนี้ครับ

Test Rider + Writer + Photo : รณกฤต ลิมปิชาติ

อ่านรีวิวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าวสาร Honda เพิ่มเติมได้ที่นี่

เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ

Share.

About Author

error: Content is protected !!