จากข้อมูลก่อนหน้านี้ที่ว่าเราอาจจะได้เห็นว่าที่ Ninja 250 รุ่นใหม่ในงาน Tokyo Motor Show 2017 ซึ่งในที่สุดเราก็ได้พบว่ามันถูกนำมาโชว์ตัวที่งานนี้จริงๆ แต่ด้วยความที่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการทำให้มันจึงถูกคลุมผ้าไว้อยู่ ยกเว้นแผ่นสเปคตัวรถด้านหน้า…. โดยอย่างที่เพื่อนกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ ว่าทาง Kawasaki JP ไม่ได้ทำการโชว์ตัวแค่ Ninja 250 เท่านั้น แต่ยังมีการนำเสนอเจ้า Ninja 400 ซึ่งมีข่าวลือกันหนาหูอย่างมากว่านี่จะเป็นเวอร์ชั่นขนาดความจุที่บ้านเราจะได้ใช้แทน Ninja 300 รุ่นปัจจุบันที่กำลังทำตลาดอยู่ และสำหรับตัวเลขความจุเครื่องยนต์ของเจ้า Ninja 400 นั้น ก็ถูกอกแบบให้อยู่ที่ 399cc พอดีเป้ะ (จากการสำรวจข้อมูลคร่าวๆไม่ใช่สเปคเดียวกันกับ Ninja 400 ที่ทำขายอยู่แล้วเพื่อเป็นตัวแทนของ Ninja 650 ในตลาดญี่ปุ่น) พร้อมสร้างแรงม้าสูงสุดได้ถึง 45PS ที่ 10,000 รอบ/นาที และแรงบิดอีก 38 นิวตันเมตร ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดแล้วเท่าที่ใบอณุญาติขับขี่แบบ A2…
Author: admin
แม้ว่าอันที่จริงแล้วเราอาจจะได้เห็นทาง Yamaha เปิดตัวเจ้า MWT-09 วันพรุ่งนี้แล้วก็ตาม แต่เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมและย้ำกระแสว่ามันจะมาจริงๆแน่นอน เราจึงขอพาเพื่อนๆไปชมภาพสิทธิบัตรที่ทางค่ายได้จดไว้ก่อนหน้านี้ (ตั้งแต่เดือน มีนาคม) ว่ามันมีสิ่งใดบ้างที่น่าสนใจในตัวตั๊กแตนสามล้อคันนี้ โดยภาพสิทธิบัตรแรกที่เราจะนำเสนอก็คือภาพอ้างอิงชุดระบบบังคับเลี้ยวและระบบกันสะเทือนซึ่งเอาจริงๆแล้วมันก็คือเทคโนโลยีเดียวกันกับพรีเมียมสกู๊ตเตอร์ที่เรา(น่าจะ)รู้จักกันดีอย่าง Tricity ที่มีชื่อว่าระบบ Leaning Multi Wheel แต่ในคราวนี้ทาง Yamaha ต้องขยายและเพิ่มขนาดของชิ้นส่วน ทุกชิ้นเนื่องจากน้ำหนักและความแรงที่มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวของ MWT-9 ขยับมาที่ภาพด้านข้างกันบ้าง จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าตัวเครื่องยนต์และสวิงอาร์มหลัง หรืออาจจะรวมถึงหม้อพักไอเสีย (วงที่ 1) นั้นค่อนข้างแน่นอนว่าเป็นพื้นฐานเดียวกับฝาแฝด 2 ล้อ MT-09 แต่ในส่วนของโครงหลักตัวรถ (วงที่ 2) นั้น ทาง Yamaha กลับใช้ดีไซน์เป็นท่อเหล็กดัดแทนที่จะเป็นแบบอลูมิเนียมหล่อ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเรื่องความแข็งทำให้พวกเค้าต้องเลือกใช้วัสดุแบบนี้ ในขณะที่ตัวโช้กคู่ซ้าย/ขวา (วงที่ 3) ก็ถูกย้ายตำแหน่งมาไว้ด้านนอกแทนที่จะเป็นด้านในแบบเดียวกับของ Tricity อย่างไรก็ตามอย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วในเบื้องต้นว่าทาง Yamaha น่าจะเตรียมเปิดตัวเจ้า MWT-09 ภายในวันพรุ่งนี้ที่งาน Tokyo Motor…
ชื่อแบรนด์ 47Moto อาจจะฟังดูไม่ค่อยคุ้นหูในบ้านเราเท่าไหร่นัก เพราะเอาจริงๆแล้วนี่คือแบรนด์เกิดใหม่สัญชาติอเมริกาจากรัฐมิเนโซต้า ซึ่งผู้บริหารเองก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอดีตดีไซน์เนอร์จากแบรนด์ Erik Buell Racing นามว่า Mike Samarzja โดยเค้าเองก็มีแผนที่จะเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ให้ได้อย่างน้อย 2 โมเดล ซึ่งโมเดลแรกก็คือเจ้า Mosquito 250 คันนี้ โดยจุดเด่นของเจ้ายุง 47Moto Mosquito คันนี้ก็คือชุดเฟรมท่อเหล็กที่ได้รับการออกแบบให้มีดีไซน์สวยงามไปพร้อมกับการที่มันสามารถปรับตำแหน่งทั้งความสูงต่ำของตัวรถโดยที่ไม่ไปรบกวนการทำงานระบบกันสะเทือนใด, ตำแหน่งพักเท้าก็สามารถปรับสูง/ต่ำ หน้า/หลังได้ตั้งแต่ออกโรงงาน ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อเกียร์โยงเพิ่ม, แม้กระทั่งขาตังข้างก็สามารถปรับตั้งได้เพื่อให้สมดุลกับส่วนสูงตัวรถ ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นทาง Samarzja ได้เลือกที่จะใช้บริการจากแบรนด์ SYM ของใต้หวันที่มีชื่อจากการผลิตเครื่องยนต์ให้กับ Hyundai และ Honda มาเป็นซัพพลายเออร์หลักในส่วนนี้ และผลที่ได้ก็คือเครื่องยนต์สูบเดียวขนาดความจุ 250cc พละกำลังสูงสุด 25 แรงม้า แต่ก็สามารถพาตัวรถพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุดที่ราวๆ 90 ไมล์/ชั่วโมง หรือเกือบๆ 145 กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยทีเดียว ขอบคุณข้อมูลจาก Revzilla, Motorcycle,…
อีกไม่กี่วันนับจากนี้ก็ใกล้จะถึงวันจัดงานมหกรรมยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น Tokyo Motor Show 2017 โดยตลอดเวลาช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวมากมายว่าเหล่าผู้ผลิตสัญชาติอาทิตย์อุทัยทั้งหลายนั้นจะนำเอารถมอเตอร์ไซค์และเทคโนโลยีใหม่ๆมาเปิดตัวกันชุดใหญ่ไม่แพ้ปีก่อนๆ ซึ่งเราก็จะขอไล่เรียงกันไปตามยี่ห้อให้เพื่อนๆได้ทราบกันในบทความนี้ ว่าจะมีรุ่นใดบ้างที่มีแนวโน้มจะเปิดตัวในช่วงกลางสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (สำหรับรุ่นที่มีสัญลักษณ์ * นั้น คือรุ่นรถที่มีกระแสข่าวว่าจะเปิดตัวในงาน และยังไม่มีภาพใดๆออกมาจากทางค่ายทั้งสิ้น ส่วนรุ่นีท่ไม่มีนั้นเราทุกคนต่างก็เคยเห็นภาพแบบถ่ายในสตูดิโอกันมาหมดแล้ว เหลือแค่รอชมภาพจริงในวันงานเท่านั้น) Honda – 2018 Goldwing สุดยอดรถนักเดินทางร่างใหม่ ดีไซน์ทันสมัย – 2018 CB1300, CB1300 Bol d’Or ทั้งไฟกลม และ Half Fair ในคลาส 1300cc – 2018 CB400, CB400 Bol d’Or ทั้งไฟกลม และ Half Fair ในคลาส 400cc – 2018 Super Cub, Super Cub…
จบลงไปแล้วสำหรับการแข่งขันสนาม AustralianGP 2017 ที่เปิดสัปดาห์มาด้วยสภาพอากาศแปรปรวนตลอดเวลา ในขณะที่ลำดับผู้ถือคะแนนในตารางแชมป์โลกก็ติดกันจนยังต้องลุ้นทั้งๆที่เป็นสนามท้ายๆฤดูกาล โดยเปิดมาในช่วงเริ่มการแข่งขันเป็น Marc Marquez ที่สตาร์ทด้วยอันดับโพลโพซิชั่นตามด้วย Marverick Vinales, และ Johann Zarco ออกตัวตามกันมาในกริดที่ 2 และ 3 ส่วนผู้มีสิทธิ์คั่วแชมป์อีกคนอย่าง Dovisiozo จาก Ducati ต้องออกตัวแบบหืดขึ้นด้วยอันดับที่ 11 แต่สุดท้ายกลายเป็นไอ้หนูแจ็คแอส Jack Miller ที่เปิดหัวได้ดีในช่วง 2-3 รอบแรกขึ้นนำโดยอาศัยความเปนเจ้าถิ่น และหลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นช่วงเวลาของเหล่า Yamaha Factory ทั้ง Rossi และ Vinales ที่บดกันไปมาแบบผสมโรงกับ Marquez, Zarco, และ Miller อยู่ไม่ห่าง หลังจากนั้นในช่วงไม่ถึง 10 รอบสุดท้ายกลุ่ม 5 นักบิดที่ตีรันฟันแทงกันอยู่มาตั้งแต่ต้น เริ่มมีการแทรกเข้ามาของ Iannone…
จากความเคลื่อนไหวที่ว่าเหล่าประเทศในกลุ่มยุโรปมีแผนแบนยานพาหนะสันดาปภายในทั้งหมดภายนับตั้งแต่ 2040 ทำให้เหล่าผู้ผลิตที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องพากันปรับตัวกันยกใหญ่เพื่อรองรับมาตราการนี้ โดยเฉพาะกับทาง Volkswagen Group ที่ผู้บริหารสูงสุดได้ออกมาประกาศว่าพวกเค้าจะผลิตแต่ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวนับตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไป ใช่แล้วครับการประกาศดังกล่าวของผู้บริหารนั้น ไม่ได้พูดถึงแค่เฉพาะรถยนต์ที่ผลิตภายใต้แบรนด์ Volkswagen เท่านั้น แต่หมายถึงยานพาหนะของทุกแบรนด์ที่อยู่ในเครือ ซึ่งรวมถึงยอดแบรนด์มอเตอร์ไซค์จากอิตาลี “Ducati” ที่เรารู้จักกันดีอีกด้วย สำหรับคำธิบายเพิ่มเติมที่เราพอจะอธิบายถึงแผนการคร่าวๆของ Volkswagen นั้นสามารถสรุปเป็นใจความได้ว่า แผนการนี้มีชื่อว่า “Roadmap E” ซึ่งเป้าหมายแรกของโครงการนี้ก็คือการเปิดตัวยานพาหนะไฟฟ้ากว่า 80 รุ่น ภายในช่วงระยะเวลานับตั้งแต่ตอนนี้ไปจนถึงปี 2025 โดยแบ่งเป็นรถไฟฟ้าแท้ๆ 50 รุ่น และแบบ Plug-In Hybrid อีก 20 รุ่น ก่อนที่จะนำองค์ความรู้ทั้งหมด ไปผลิตรถไฟฟ้าที่ดีกว่าสำหรับจำหน่ายในปี 2030 อย่างเต็มรูปแบบ ต้องบอกก่อนนะครับว่าในบทความแผน “Roadmap E” ดังกล่าวนั้นไม่ได้มีการพูดถึงแบรนด์ Ducati แม้แต่น้อย แต่ด้วยความที่ว่าผู้บริหาร Volkswagen Group…
จากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่ว่าเราได้นำภาพแผนการเปิดตัวโมเดลใหม่ๆของ Suzuki สำหรับปี 2018 ซึ่งมีทั้ง GSX-R300 และ GSX-S300 ที่ได้รับความสนใจจากเพื่อนๆเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าเราจะลืมพูดถึงอีกหนึ่งโมเดลที่ถูกห้อยป้ายด้านหลังว่า “New” เหมือนสองโมเดลข้างต้นไปซะงั้นนั่นก็คือ GSX-700T เนื่องจากเรายังไม่มีข้อมูลใดๆมาอธิบายได้ว่ามันคือโมเดลหน้าตาแบบใดกันแน่ในตอนนั้น และในที่สุดเมื่อวันก่อนเราก็ได้ข้อมูลจากสื่อญี่ปุ่นได้ให้คำอธิบายไว้ว่าอักษรตัวท้าย “T” ที่ห้อยอยู่ด้านหลังชื่อรุ่น GSX-700 นั้นหมายถึงระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ซึ่งมันมีความเป็นไปได้สูงอย่างมากว่าตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่นดังกล่าวจะได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ “XE-7” ที่เป็นแบบ 2 สูบเรียงติดตั้งเทอร์โบชาร์จ ส่วนความจุแม้ไม่ได้มีการระบุไว้ตั้งแต่ตอนเปิดตัวเมื่อปี 2015 ก็ดูเหมือนว่ามันจะถูกอกแบบไว้ที่ราวๆ 600cc (คาดว่าทาง Suzuki อาจจะปรับความจุให้เพิ่มขึ้นจนใกล้ 700cc ถึงได้ตั้งชื่อรุ่นรถด้วยตัวเลข 700) โดยภาพที่เพื่อนๆกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ ทางสื่อรายดังกล่าวก็ได้ให้ข้อมูลไว้ว่านี่คือภาพในเอกสารสิทธิบัตรซึ่งเผยให้เห็นว่าตัว GSX-700 นั้น จะถูกเปลี่ยนชุดโครงสร้างหลักตัวรถให้เป็นแบบโครงเหล็กถักแทนที่จะเป็นแบบโครงอลูมิเนียมหล่อ ซึ่งแบบโครงถักนั้นจะให้ประโยชน์ในเรื่องของเนื้อที่การจัดวางระบบอัดอากาศที่มากับเครื่องได้ดีกว่านั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก Autoby.jp อ่านข่าวสาร Suzuki เพิ่มเติมที่ได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival…
หากพูดถึงการเซ็ทอัพระบบกันสะเทือน สิ่งแรกๆที่เพื่อนมักจะนึกถึงกันก่อนเลยก็คือ การปรับค่าความแข็ง/อ่อนของสปริง ซึ่งนี่ถือว่ายังเปนแค่จุดเริ่มต้นหรืออาจจะเป็นจุดๆเดียวเท่านั้นที่เราพอจะปรับตั้งได้จากสปริงเดิมๆติดรถของเรา แต่ถ้าหากเพื่อนๆเลือกขยับไปเล่นพวกโช้กแต่งขึ้นมาแล้วล่ะก็ สิ่งที่เพื่อนๆจะได้ยินเพิ่มขึ้นมาอีกก็คือ ค่ารีบาวน์ ที่ใช้ตั้งความไวในการคืนตัวของโช้ก และ ค่าคอมเพรสชั่น หรือก็คือค่าที่ใช้ตั้งความไวในการยุบตัวของโช้ก ซึ่งเราจะขออธิบายกันในบทความนี้โดยอ้างอิงจากคลิปของทาง MotoGP ที่เพื่อนๆกำลังเห็นในตอนนี้ว่าผลจากการปรับค่าต่างๆที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปนั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง มาเริ่มกันเลยครับ (ในคลิปนี้จะเป็นการอธิบายถึงตัวโช้กหลังเท่านั้นนะครับ ยังไม่รวมถึงโช้กหน้าที่จะให้ผลต่างออกไปอีกนิดนึง ซึ่งเราคาดว่าทาง MotoGP จะปล่อยออกมาในภายหลัง) เริ่มจากเรื่องแรกนั่นก็คือการเซ็ทค่าความแข็งของสปริงซึ่งเราก็จะแบ่งได้เป็นสองแบบนั่นก็คือ แข็ง และ อ่อน โดยถ้าหากเราเซ็ทสปริงให้แข็งเกินไปนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวรถตอนขับขี่ก็คือ สปริงจะไม่สามารถซับแรงกระเทือนที่เกิดขึ้นได้หมดจด และส่งแรงทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปกระทำกับยางแทน จนสุดท้ายยางก็จะหมดไวกว่าปกติเพราะการกระเด้งกระดอนของตัวรถจนเกิดจังหวะแรงกระทำไม่สมดุลกับหน้ายาง ในขณะที่ถ้าหากว่าเพื่อนๆเซ็ทสปริงไว้อ่อนเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แม้ว่าตัวสปริงจะสามารถซับแรงกระเทือนได้หมด แต่น้ำหนักของทั้งตัวผู้ขับและตัวรถจะตกลงมาที่ล้อหลังมากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าหน้ายางก็จะหมดไวขึ้นอีกเช่นกัน มาที่การปรับค่า รีบาวน์ และ คอมเพรสชั่น กันบ้าง ซึ่งเราได้กล่าวไปแล้วว่าการปรับค่าทั้งสองอย่างนี้จะหมายถึงการปรับความไวของการยืดยุบของโช้ค โดยหลักการทำงานตัวปรับค่าดังกล่าวนี้ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆก็ก็อ ปรับขนาดรูวาล์วน้ำมันด้านในของตัวกระบอกโช้กให้กว้างแคบตามแต่ผู้ใช้จะต้องการ โดยถ้าหากว่าเราปรับค่าทั้งรีบาวน์และคอมเพรสชั่นให้ไวเกินไป (รูน้ำมันกว้างจนน้ำมันสามารถถ่ายเทไปมาภายในกระบอกได้สะดวกเกิน) สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยพื้นฐานก็คล้ายๆกับตอนตั้งสปริงอ่อน แต่อาการที่เพิ่มขึ้นมาก็คือจังหวะการขึ้นลงจะไม่เสถียรหรือเกิดอาการย้วยขึ้นๆลงๆ จนเกิดอาการท้ายดีด ข้ามมาที่การปรับค่าทั้งรีบาวน์และคอมเพรสชั่นให้หนืด (ปรับรู้น้ำมันแคบ)…
จากยอดขายที่กำลังโตขึ้นเรื่อยๆจนทะลุ 3000 คันของโมโตครอสไฟฟ้าหนึ่งเดียวของทางค่ายอย่าง 2018 Freeride E-XC ทำให้ทาง KTM พร้อมเปิดตัวรุ่นอัพเกรดหรือเวอร์ชั่นที่ 2 ของมันขึ้นจนได้เพื่อใช้ทำตลาดต่อไปในปี 2018 ซึ่งเราเชื่อมันจะต้องดึงดูดสายโหดกระโดดเข้าป่าให้หันมาสนใจเจ้านี่ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน สำหรับการปรับปรุงหลักๆของ 2018 KTM Freeride E-XC รุ่นสองนั้นจะเน้นไปที่การปรับปรุงมอเตอร์ไฟฟ้าใหม่ให้สามารถปั่นแรงบิดได้สูงสุดถึง 42 นิวตันเมตร (เทียบเท่ากับโมโตครอสสองจังหวะ 250cc) ส่วนแรงม้าสูงสุดก็อยู่ที่ 24.5 ตัว และสามารถปรับลดลงให้เหลือเพียง 12 แรงม้าได้ เพื่อให้เหมาะกับมือใหม่ที่ยังไม่บรรลุใบขับขี่ระดับ A1 ในขณะที่การดูและรักษาระบบมอเตอร์นี้ก็มีแค่การวัดระดับน้ำหล่อเย็นกับเปลี่ยนน้ำมันหล่อเฟืองเกียร์ทุกๆ 50 ชั่วโมงของการขับขี่เท่านั้น ระบบแบตเตอรี่ลูกใหม่ถูกขยายความจุไฟให้มากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้าอีก 50% ทำให้ผู้ใช้สามารถขับขี่เจ้าโมโตครอสไฟฟ้าคันนี้ได้นานสูงสุดถึง 90 นาที ขึ้นอยู่กับความหนักของข้อมือ (อันที่จริง KTM มี Engine Map มาให้ 3 ระดับอยู่แล้ว) และถ้าหากผู้ใช้มีจังหวะเบรกมากพอ ตัวรถก็สามารถใช้แรงเฉื่อยขณะนั้นสร้างกระแสไฟเพื่อชาร์จกลับจากส่วนนี้ได้ จนยืดเวลาการขับขี่ได้เป็น…
เปิดตัวออกมาจนได้กับ 2018 Honda Super Cub ซึ่งเปิดออกมาก่อนเผยตัวจริงในงาน Tokyo Motor Show 2017 ซึ่งได้ทำการอัพเดทรูปลักษณ์ของตำนานรถแม่บ้านรุ่นนี้ใหม่ มาพร้อมรายละเอียดตัวรถต่างๆนั้นถือว่าเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับดีไซน์โค้งมนอันที่เป็นตำนานมาตั้งแต่เริ่มต้นไว้ได้อย่างลงตัว โดยในส่วนของดีไซน์โดยรวมของตัวรถ Super Cub C110 นั้น อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นว่า Honda ยังคงรักษาเส้นสายเดิมๆไว้ได้ทั้งหมด ในขณะที่ชุดระบบไฟหลักๆอย่างเช่นโคมไฟหน้านั้นถูกปรับให้เป็นแบบโคม LED แยกโซนบนล่างตามสมัยนิยมเป็นที่เรียบร้อย แต่ในขณะเดียวกันทั้งชุดโคมไฟเลี้ยว และไฟท้ายยังใช้ดีไซน์เดิมๆที่มีมาตั้งแต่รุ่นแรก ตัวเบาะถูกตัดให้เป็นตอนเดียวสำหรับผู้ขับ ส่วนที่นั่งด้านหลังถูกปรับเป็นตะแกรงเหล็กสำหรับบรรทุกสัมภาระ (คาดว่าจะมีออพชั่นเบาะตอนยาวให้กับลูกค้าที่อยากเอาใจสาวซ้อนในภายหลัง) ในขณะที่เครื่องยนต์พิกัด 109cc ที่เป็นพื้นฐานเดียวกันกับ Honda Dream Super Cub ในบ้านเรานั้นก็ได้รับการปรับปรุงชุดใหญ่เพื่อรองรับมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทั้งการลดแรงเสียดทานภายในเสื้อสูบ, เปลี่ยนชุดลูกปืนใหม่ให้ลื่นไหลกว่าเดิม, ปรับปรุงระบบไหลเวียนน้ำมันเครื่องใหม่, ปรับปรุงระบบเกียร์ให้นุ่มนวลยิ่งขึ้น, ระบบท่อไอเสียแบบใหม่, เพิ่มขนาดชุดโซ่ขับเพื่อยืดอายุการใช้งาน และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังพิเศษสุดๆด้วยโมเดลย่อยรุ่นใหม่ที่ใช้ชื่อในการทำตลาดว่า Super Cub Pro (ที่ก่อนหน้านี้หลายๆคนคาดว่าจะเปิดตัวในชื่อ Super Cub Cross) ซึ่งมาพร้อมกับชุดบอดี้พาร์ทแบบใหม่ที่ออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานแบบลุยๆมากขึ้นตามข้อมูลก่อนหน้านี้…