BMW R1300R รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตเปลือยรุ่นใหญ่จากค่ายบาวาเรีย BMW ทำการปรับโฉมครั้งใหญ่แบบ All New มาพร้อมเครื่องยนต์ลูกใหม่ที่ยกมาจากฝาแฝดยกสูงอย่าง R1300GS และรูปลักษณ์ที่พลิกโฉมใหม่หมดจด ดูมีความสปอร์ตแหลมคมโฉบเฉี่ยวมากกว่าเดิม ตัวรถรุ่นใหม่นั้นถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ BMW R1300GS และ GS Adventure ที่ได้ทำการเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ Boxer ลูกใหญ่แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ปริมาตรกระบอกสูบ 1,300 ซีซี ที่สามารถสร้างพละกำลังสูงสุด 145 Hp ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดที่มากถึง 149 Nm ที่ 6,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเพลา ตามแบบร่างยกสูง พร้อมตัวเลือกระบบเกียร์อัตโนมัติ ASA เป็นอุปกรณ์เสริม และเช่นเดียวกับพี่น้องของมัน BMW ได้ทำการเปลี่ยนเฟรมเหล็กท่อแบบเก่า ให้เป็นเฟรมเหล็กแผ่นขึ้นรูป ส่วนเฟรมท้ายทำจากวัสดุอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม, ถังน้ำมันขนาด 17 ลิตร, น้ำหนักรวมของเหลวอยู่ที่…
Author: Kristha
ถ้าหากเราพูดถึงรถมอเตอร์ไซค์ที่เป็นเจ้าแห่งความเร็วในสนาม ที่มาพร้อมเสียงร้องแสบหู วิ่งทางตรงก็ได้ เข้าโค้งเข่าเช็ดพื้นก็ดี พวกเราคงนึกถึงรถแนว Superbike หรือ Supersport แต่ถ้าเราย้อนเวลากลับไปสมัยปี 2000-2020 ถ้ามีคนพูดถึงเจ้าแห่งความเร็วในโลก 2 ล้อ ผู้คนในยุคนั้นก็คงจะนึกถึงรถสปอร์ตร่างอ้วนอย่าง Suzuki Hayabusa เป็นอันดับแรก Suzuki GSX1300R Hayabusa ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 1999 มันเป็นรถมอเตอร์ไซค์สไตล์สปอร์ต ที่ผสานขนาดเครื่องยนต์ลูกใหญ่ที่ให้กำลังตั้งแต่รอบต่ำและกลาง และร่างกายใหญ่โตพร้อมฐานล้อยาวแบบรถทัวริ่งเข้าไว้ด้วยกัน ชื่อเล่นของมันอย่าง Hayabusa นั้นมีความว่า “เหยี่ยวเพเรกริน” ซึ่งเป็นนักนักล่าที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก รถในโฉมแรกจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 4 สูบเรียง 4 วาล์วต่อสูบ ปริมาตรกระบอกสูบ 1,298 ซีซี ที่สามารถสร้างพละกำลังสูงสุดได้มากถึง 175 PS ที่ 9,800 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 138 Nm ที่ 7,000 รอบต่อนาที…
หลังจากที่ Donald Trump ได้ทำการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่จากประเทศไทยที่สูงถึง 36% จนกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันไปทั่วประเทศ อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าทั่วโลกเลยด้วยซ้ำ เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับประเทศอื่นด้วย ในอัตราที่แตกต่างกันออกไป แต่รู้หรือไม่ว่า Trump อาจจะเพ่งเล็งประเทศไทยในประเด็นนี้มาตั้งแต่การครองตำแหน่งสมัยแรกแล้ว ในช่วงที่ Harley-Davidson ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในตำนานสัญชาติอเมริกัน วางแผนเปิดโรงงานในบ้านเรา จนส่งผลให้ชาวอเมริกันจำนวนมากต้องตกงาน ซึ่งเรื่องนี้เราต้องย้อนกลับไปในปี 2018 ในตอนนั้นเป็นช่วงที่ Donald Trump อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยแรก และเป็นช่วงที่อเมริกากำลังทำสงครามการค้า และแข่งกันตั้งกำแพงภาษีกับสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการส่งออกยานยนต์และโลหะ ซึ่งสงครามภาษีที่ว่านี้ก็ถูกเริ่มโดยประธานาธิบดีคนนี้เช่นกัน ในตอนนั้น Hayley-Davidson ก็มีแผนที่จะเข้ามาเปิดโรงงานประกอบในประเทศไทยอยู่แล้ว การขึ้นภาษีกับรถจักรยานยนต์ที่ผลิตในอเมริกาโดยสหภาพยุโรป จึงเป็นตัวกระตุ้นให้การย้ายกำลังผลิตออกนอกประเทศบ้านเกิดเร็วขึ้น เพราะยุโรปถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ตราโล่ หากไม่นับตลาดในบ้านตัวเอง การตั้งโรงงานในประเทศไทย นอกจากจะช่วยหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของยุโรปได้แล้ว ยังช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงตลาดอาเซียนและจีนเพิ่มขึ้นได้ เพราะประเทศไทยมีข้อตกลงทางการค้าแบบปลอดภาษีกับทั้งจีน และประเทศอื่นในอาเซียน ไหนจะเรื่องต้นทุนการประกอบรถในไทยที่ต่ำกว่าอเมริกาตั้งแต่ต้นอีก และตรงนี้เองก็เป็นจุดที่ทำให้ Trump เพ่งเล็ง Harley-Davidson และอาจจะรวมถึงประเทศไทยมากกว่าเดิม เนื่องจากประธานาธิบดีคนนี้ได้ทำการโพสลงโซเชียลมีเดียของตนเอง ว่าไม่ต้องการให้รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอเมริกา ต้องถูกนำไปผลิตนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นที่พูดถึงกันเยอะในสังคมผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ในอเมริกาเหมือนกัน เพราะในการปราศรัยเรื่องการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี…
หลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเราได้ทำการเปรียบเทียบสเปค Zontes 703F ซึ่งถูกพบวิ่งทดสอบในประเทศไทย กับรถยกสูงยอดนิยมต่างสไตล์อย่าง Kawasaki Versys 650 ไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เรามาดูคู่แข่งค่ายคนบ้าอย่าง Suzuki V-Strom 800DE ที่มีสไตล์เป็นรถสายลุยที่จริงจังมากขึ้น และเป็นคู่เปรียบที่ใกล้เคียงกันดูบ้าง เครื่องยนต์Zontes 703F : 3 สูบเรียง เพลาข้อเหวี่ยง 120 องศา / 4 วาล์วต่อสูบ / DOHC / ระบายความร้อนด้วยน้ำ / ขนาดความจุ 699 ซีซีSuzuki V-Strom 800DE : 2 สูบเรียง เพลาข้อเหวี่ยง 270 องศา / 4 วาล์วต่อสูบ / DOHC / ระบายความร้อนด้วยน้ำ /…
ถ้าเราย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อน รถมอเตอร์ไซค์ที่น่าจะเริ่มทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็น “บิ๊กไบค์” น่าจะมีขนาดเครื่องยนต์เริ่มต้นที่ประมาณ 250 ซีซี และก็เป็นแบบนั้นอยู่นานมาก ก่อนที่มันจะขยายเป็น 300 ซีซี และใหญ่ขึ้นอีกเป็น 400 ซีซี ในเวลาต่อมา แต่รู้ตัวอีกที รถคลาสเริ่มยุคใหม่กลับยืนพื้นความจุที่ประมาณ 450 ซีซี กันแล้วหลายรุ่น แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้? เพราะถ้าเราดูที่รถมอเตอร์ไซค์ตัวเริ่มในยุคปัจจุบันจากหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น Honda NX500, Kawasaki Ninja 500, Royal Enfield Guerrilla 450, Aprilia RS457, CFMoto 450MT หรือแม้แต่รถที่กำลังจะมาเสริมความดุของตลาดอย่าง BMW F450GS ต่างก็ใช้เครื่องยนต์ที่มีปริมาตรกระบอกสูบประมาณ 450 ซีซี กันทั้งนั้น ซึ่งใหญ่ขึ้นจากรถตัวเริ่มเมื่อหลายปีก่อนกันหมด โดยเหตุผลที่ทำให้ค่ายรถหลายราย ต่างขยับความจุก็เกิดขึ้นได้จากหลายเรื่อง แต่ส่วนสำคัญน่าจะเกิดจากการขยายตัวของตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในคลาสเริ่มต้น ที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดมากจนค่ายรถหลายรายต่างต้องการลงมาเล่นด้วย แต่จะลงเล่นด้วยเครื่องยนต์ขนาด 250 ซีซี…
ในวงการรถมอเตอร์ไซค์ เครื่องยนต์ซึ่งเป็นหัวใจของตัวรถที่สร้างพละกำลัง และเป็นสิ่งบ่งบอกเอกลักษณ์และตัวตนของรถคันนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากที่สุด หากเราต้องไล่สเปคของรถสักคัน แต่อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือระบบส่งกำลัง ซึ่งทำหน้าที่ส่งพละกำลังดังกล่าวลงไปสู่พื้น แต่จะคำถามนึงที่เราได้ยินกันอยู่ตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นั่นคือตกลงแล้ว โซ่ หรือ สายพาน อะไรดีกว่ากัน? เราก็ขอเริ่มการที่ระบบขับเคลื่อนที่เราน่าจะเห็นกันบ่อยที่สุด และแพร่หลายในรถมอเตอร์ไซค์หลายประเภทมากที่สุด นั่นคือระบบขับเคลื่อนด้วย “โซ่” ซึ่งจะทำงานคู่กับเฟืองหรือสเตอร์ขับเคลื่อน ข้อดีของระบบที่ว่านี้คือต้นทุนที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับระบบส่งกำลังแบบอื่น มีน้ำหนักที่เบา ยืดหยุ่น บิดตัวได้มาก รับแรงกระชากได้ดี ใช้ได้ตั้งแต่รถบ้าน รถสปอร์ต ยันรถเอนดูโร่ แถมยังเป็นระบบส่งกำลังที่กินพละกำลังของเครื่องยนต์น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับสายพาน หรือเพลาขับที่เราจะไม่ได้มาพูดถึงในครั้งนี้ หมายความว่าพละกำลังที่สร้างได้จากเครื่องยนต์ จะถูกส่งลงไปสู่พื้นเพื่อขับเคลื่อนตัวรถโดยที่มีการสูญเสียน้อยมาก แปลว่ามันเป็นระบบขับเคลื่อนที่เหมาะจะใช้งานกับมอเตอร์ไซค์สมรรถนะสูงมากที่สุด ส่วนข้อเสียของ “โซ่” คือมันเป็นระบบขับเคลื่อนที่มีเสียงดังกว่าระบบอื่น แต่ก็ไม่ได้ดังจนน่ารำคาญอะไร นอกจากนี้มันยังเป็นระบบที่ต้องได้รับการดูแลรักษาตลอดอายุการใช้งานด้วยการลงน้ำมันหล่อลื่น ถึงอย่างนั้นอายุการใช้งานของมันก็ยังสั้นกว่าระบบอื่นอยู่ดี อาจจะต้องเปลี่ยนทุกประมาณ 10,000 กิโลเมตร เนื่องจากธรรมชาติของมันที่เป็นชิ้นส่วนโลหะ ที่เสียดสีและบดขบกับเฟืองในสภาพแวดล้อมแบบเปิดโล่ง ไร้การป้องกัน การสึกหรอจึงเกิดขึ้นกับตัวโซ่และเฟืองพร้อมกัน ถัดมาคือระบบขับเคลื่อนด้วย “สายพาน” ซึ่งสร้างขึ้นจากวัสดุยาง แต่เสริมความแข็งแรงด้วยเส้นใยโลหะหรือเคฟล่า…
หลังจากที่มีข่าวว่ารถยกสูงจากแดนมังกร Zontes 703F กำลังวิ่งทดสอบอยู่ในประเทศไทย มันก็ทำให้เรานึกไปถึงคู่แข่งยกสูงคลาสกลางอย่างอย่าง Kawasaki Versys 650 ที่ถึงแม้ว่าสไตล์ของรถทั้งสองรุ่นจะไม่ได้ตรงกันพอดีเป๊ะ แต่เราก็เชื่อว่าคนที่กำลังรอคอยรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งอยู่ น่าจะพิจารณารถอีกรุ่นเป็นตัวเลือกอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะมีดูกันว่าคันไหนใช่สำหรับคุณ เครื่องยนต์Zontes 703F : 3 สูบเรียง เพลาข้อเหวี่ยง 120 องศา / 4 วาล์วต่อสูบ / DOHC / ระบายความร้อนด้วยน้ำ / ขนาดความจุ 699 ซีซีKawasaki Versys 650 : 2 สูบเรียง Flatplane / 4 วาล์วต่อสูบ / DOHC / ระบายความร้อนด้วยน้ำ / ขนาดความจุ 649 ซีซี กำลังสูงสุดZontes 703F…
Yamaha อีกหนึ่งค่ายผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ถือเป็นอีกหนึ่งค่ายรถที่กล้าคิดกล้าทำ หากเราพูดถึงเทคโนโลยีแปลกใหม่ ที่เรามักจะไม่คิดว่าค่ายรถรายอื่นคิดจะทำกัน เช่นเดียวกับการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ 3 ล้อ ไม่ว่าจะเป็นในรถสกู๊ตเตอร์อย่าง Tricity หรือในรถรุ่นใหญ่อย่าง Niken แน่นอนว่าพวกเราในปัจจุบันคงจะทราบกันดีว่าทั้ง Tricity และ Niken นั้นไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มของรถที่ประสบความสำเร็จที่สุดของพวกเขา แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นรถที่ทำให้คนพูดถึงกันเยอะมากในช่วงที่มันเปิดตัว แต่ดูเหมือนว่า Yamaha นั้นยังคิดที่จะไปต่อกับเทคโนโลยีดังกล่าว เพราะล่าสุดมีคนไปพบภาพสิทธิบัตรใหม่ของค่ายส้อมเสียง ที่จดทะเบียนไว้ในสหภาพยุโรป แสดงให้เห็นถึงกลไกบังคับเลี้ยว Leaning Multi Wheel ที่มีหน้าตาเหมือนกับของที่อยู่ในรถที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ ที่สามารถใช้บังคับเลี้ยว 2 ล้อหน้า พร้อมกับขับขี่แบบเอียงตัวตามแบบการขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามปกติได้ด้วย แต่สิ่งที่น่าสนใจของภาพสิทธิบัตรนั้นมีการระบุว่า พวกเขาได้ทำการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว เข้าไปในกลไกบังคับเลี้ยวของล้อทั้งสอง โดยมอเตอร์ที่ว่านั้นจะรับข้อมูลจากสมองกล และเซนเซอร์รอบตัวรถที่ทำการจับความเร็ว องศาการเอียงรถ และความเร็วเชิงมุมของตัวรถ เพื่อนำมาประมวลผลและส่งต้อมูลต่อไปที่มอเตอร์ตรงแผงคอ นั่นแปลว่าระบบที่พวกเขากำลังพัฒนาอยู่นั้น จะมีความคล้ายคลึงกับระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่มีอยู่ในรถยนต์ ที่จะมีระบบไฟฟ้าหรือไฮโดรลิคมาขั้นอยู่ระหว่างคนและล้อ ไม่ใช่การเชื่อมต่อโดยตรงตามแบบของรถมอเตอร์ไซค์ปกติ ซึ่งระบบที่ว่านี้ก็ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อทดแรง หรือลดความเมื่อล้าของผู้ขับขี่แต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้ไม่เคยเป็นปัญหาของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัย…
Kawasaki Meguro ชื่อของรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิกจากค่ายเขียว ที่หลายคนน่าจะมีภาพจำเกี่ยวกับมัน ว่าเป็นเหมือนกับร่างแยกโทนดำของรถในตระกูล W แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว Meguro ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อรุ่นของค่ายเขียวเท่านั้น เพราะครั้งหนึ่งมันเคยเป็นค่ายรถของตัวเอง ที่ผลิตรถมอเตอร์ไซค์มาก่อน Kawasaki ด้วยซ้ำ ย้อนกลับไปในปี 1878 ในยุคการก่อตั้งบริษัท Kawasaki ในตอนนั้นบริษัทสีเขียวที่เราคุ้นเคยยังไม่ได้เริ่มธุรกิจผลิตรถมอเตอร์ไซค์ แต่กลับเป็นบริษัทอู่ต่อเรือและอุตสาหกรรมหนัก ที่ในปัจจุบันเราน่าจะคุ้นเคยกับมันในชื่อ Kawasaki Heavy Industry ต่อมาในปี 1924 ก็ได้มีบริษัทผลิตชุดเกียร์รายหนึ่งถูกก่อตั้งขึ้นในเขต Meguro ของเมือง Tokyo ซึ่งบริษัทที่ว่านั้นก็ได้เลือกใช้ชื่อเขตดังกล่าวมาใช้เป็นชื่อแบรนด์ของชุดเกียร์ของตัวเอง นับเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท Meguro อย่างเป็นทางการ รถจักรยานยนต์รุ่นแรกของพวกเขาคือ Meguro Z97 ถูกสร้างขึ้นในปี 1937 มันถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่พวกแรกจากประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยอากาศ 498 ซีซี สามารถพละกำลังสูงสุดอันน่าขนลุกได้มากถึง 11 Hp ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับยุคนั้น แต่ด้วยความที่โลกเข้าสู่ยุคสงคราม เราจึงไม่ได้เห็นความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ หรือเครื่องจักรสำหรับการใช้งานในภาคเอกชนมากนัก เนื่องจากทรัพยากรทุกอย่างถูกย้ายไปใช้ในทางทหาร…
ผ่านกันมาครึ่งทางแล้วกับงาน Bangkok International Motor Show 2025 พวกเราได้เห็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่มากมาย ถูกนำมาเปิดตัวกันในงานดังกล่าวอย่างดุเดือด แต่ขณะเดียวกันพวกเราก็ได้รับคำถามหลังไมค์กันมาเยอะพอสมควร ว่าทำไมค่ายรถรายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Zontes, Lambretta, Vespa, Aprilia, Ducati กลับไม่มาเปิดบูทโชว์ในงานดังกล่าว ซึ่งข้อมูลและเหตุผลเบื้องหลังที่เราจะมาอธิบายให้ทุกคนได้ฟังกัน ว่าทำไมค่ายรถเหล่านี้ถึงไม่ลงงาน Motor Show 2025 อาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการฟันธง แต่จะเป็นเหมือนการอธิบายว่ามีตัวแปรอะไรบ้าง ที่ทำให้ค่ายรถแต่ละค่ายตัดสินใจที่จะลง หรือไม่ลงงานแสดงรถแต่ละงาน ก่อนอื่นเราก็ต้องมาดูเหตุผลหลักกันก่อนว่าทำไมค่ายรถ ต้องลงทุนจัดบูทในงานแสดงรถแบบนี้? แน่นอนว่าเหตุผลนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่องการโปรโมทแบรนด์ การที่ค่ายรถแต่ละรายสามารถไปโผล่ในงานเหล่านี้ได้ เป็นการแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ มีผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเทคโนโลยีใหม่อะไรมาโชว์บ้าง ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์แบบหนึ่ง แต่ด้วยความที่งานแบบนี้เป็นงานใหญ่ มีทั้งสื่อและผู้เข้าชมงานจำนวนมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีค่าใช้จ่ายในการออกงานแต่ละครั้งที่สูงมาก เพราะแค่ค่าเช่าที่แต่ละบูทในช่วงเวลางานประมาณ 10 วัน ก็อาจจะสูงได้ถึง 8 หลัก และจะเพิ่มขึ้นไปตามขนาดพื้นที่ นี่ยังไม่รวมค่าก่อสร้างบูท และค่าดำเนินการอีกมากมายระหว่างนั้น ฟังมาถึงจุดนี้ หลายคนก็น่าจะพอจินตนาการถึงมุมมองของผู้บริหารค่ายรถได้บ้างแล้ว ว่าถ้าค่ายรถของเราไม่ได้มีแผนที่จะเปิดตัวรถใหม่…
