ภายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วงการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า EV กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว หลายค่ายวางแผนใหญ่โตในการแปลงโฉมทั้งไลน์อัพ เปลี่ยนจากรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน มาเป็นรถพลังงานไฟฟ้า
แน่นอนว่าฝั่งของรถมอเตอร์ไซค์เองก็ไม่อยู่เฉย หลายค่ายมีความพยายามพัฒนาตามแนวทางนี้อยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมโดยรวมก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ายังไม่ใช่ของที่เห็นได้ทั่วไป จะเห็นก็แต่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันจิ๋ว ที่ส่วนใหญ่เป็นรถที่จดทะเบียนไม่ได้ แล้วอะไรกันคือสิ่งที่ฉุดรั้งกันแน่?

ถ้าจะให้พูดตามตรง ปัญหาก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ใช้เป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งมีข้อจำกัดในด้านของความหนาแน่นของพลังงานที่สามารถกักเก็บเอาไว้ได้ เพราะถึงแม้ว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบันจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็ยังไม่สามารถสู้น้ำมันได้อยู่ดี

แปลว่าจะเราอยากได้รถที่เดินทางได้ไกลขึ้น เราก็จำเปิดต้องติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเข้าไป แต่รถมอเตอร์ไซค์นั้นไม่เหมือนกับรถยนต์ ที่สามารถติดตั้งแบตเตอรี่จำนวนมากเข้าไปได้ เพราะมอเตอร์ไซค์นั้นมีพื้นที่การติดตั้งอุปกรณ์ที่จำกัดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหนจะเรื่องของน้ำหนักอีก การเพิ่มน้ำหนักสัก 50 กิโลกรัม ในรถยนต์อาจจะไม่ส่งผลต่อการขับขี่เท่าไร แต่เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้กับมอเตอร์ไซค์ ที่มีจุดเด่นเป็นเรื่องการควบคุม

ต่อมาคือเรื่องของการชาร์จไฟ ที่เรื่องนี้ว่ากันตามตรงอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด เพราะรถยนต์ก็เจอปัญหาเดียวกัน ที่ถึงแม้จะต้องเสียเวลาอยู่บ้าง แต่ขอเพียงแค่ผู้ใช้สามารถวางแผน และปรับรูปแบบชีวิตให้เข้ากันรถได้ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ปัญหาจะเกิดก็คือช่วงเดินทางไกลในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ประเด็นของระยะทางก็จะกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่ใช้ปัญหาของรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ใหญ่ ที่สามารถขับต่อไปจนเจอจุดชาร์จที่อยู่ห่างกันได้ แต่มอเตอร์ไซค์อาจไม่มีโอกาสวิ่งไปถึงจุดชาร์จถัดไปที่ว่า

สุดท้ายคือเรื่องของค่าตัว ด้วยความที่แบตเตอรี่คุณภาพสูงนั้นทำมาจากแร่หายาก และแร่หายากเหล่านั้นก็มีมูลค่าที่สูง นั่นหมายความว่าค่าตัวของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ก็จะสูงตามขึ้นไปด้วยเช่นกัน แต่ต่อให้แบตเตอรี่ยุคนี้จะถูกลงกว่าเมื่อก่อน มันก็ยังแพงกว่าเหล็ก หรืออลูมิเนียมหล่อที่ใช้ทำเครื่องยนต์อยู่ดี

และถ้าเราย้อนไปดูอุตสาหกรรมมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในระดับโลก เราก็จะพบว่าค่ายรถส่วนใหญ่มักจะทำรถมอเตอไซค์พลังงานไฟฟ้า ในฐานะตัวแทนที่มีไว้เพื่อโชว์เทคโนโลยี และเพื่อเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น BMW CE-04, Kawasaki Ninja 7, Kawasaki Z E-1 หรือแม้แต่รถรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Honda WN7 ที่เพิ่งถูกเปิดตัวออกมา ทุกคันล้วนทำขึ้นมาเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางไหน มากกว่าจะเป็นการทำขึ้นเพื่อหวังจะจำหน่าย และทำกำไรในวงกว้าง

แบรนด์พลังงานไฟฟ้าล้วนอย่าง Energica จากอิตาลีก็เพิ่งล้มละลายไป รถไฟฟ้าแบรนด์ลูกของ Harley-Davidson ที่พยายามจริงจังอย่าง LiveWire ก็ประสบปัญหาด้านความนิยมอย่างหนัก และห่างไกลกับการทำกำไร การแข่งขันพลังงานสะอาดอย่าง MotoE ก็เพิ่งประกาศยกเลิกไปในฤดูกาลหน้า เพราะขาดความนิยม

จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวงการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้านั้นต่างกับฝั่งของรถยนต์เป็นอย่างมาก เหตุผลที่หลายคนอยากเลือกใช้รถไฟฟ้าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความประหยัด และอัตราเร่ง แต่รถมอเตอร์ไซค์ปกตินั้นก็ถือว่าประหยัดน้ำมันอยู่แล้ว ยิ่งรถบ้านนี่เทียบค่าน้ำมันกับค่าไฟได้เลย ถ้าจะเอาดีด้านความแรง บิ๊กไบค์ก็ถือว่าแรงจนอันตรายเมื่อเทียบกับค่าตัวที่จ่าย

แต่อนาคตของรถมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้าก็ไม่ได้มืดบอดไปทั้งหมด เพราะมันยังเป็นรูปแบบการเดินทางที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานทั่วไปในเมือง ที่ผู้ใช้รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเดินทางไปไหน ระยะทางเท่าไร ไม่ปล่อยมลพิษ ชาร์จไฟที่บ้านได้เลย ไม่ต้องไปปั้มน้ำมันให้เสียเวลา อีกประเภทก็คงเป็นรถวิบาก ที่ขี่แค่ระยะทางสั้น ๆ เน้นแรงบิด ไม่เน้นขี่เร็ว ตอนเดินทางก็ใช้วิธีขนขึ้นรถกระบะอยู่แล้ว มากกว่าจะเป็นบิ๊กไบค์ตัวแรง
อ่านข่าวสาร EV เพิ่มเติมได้ที่นี่