ในยุคปัจจุบันที่เราเริ่มเห็นค่ายรถอเมริกันสายคลาสสิกอย่าง Harley-Davidson เริ่มพัฒนาตัวเองให้ทันสมัย โดยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่าง Pan America หรือ Sportser S ที่อาจจะทำให้แฟนคลับเดนตายสายเคร่งต้องขมวดคิ้ว แต่รู้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งค่ายรถรายนี้ แค่ทำแม้แต่รถซุปเปอร์ไบค์ด้วยซ้ำ

ย้อนกลับไปในปี 1993 ค่ายรถอเมริกันอนุรักษ์นิยมที่เคยทำแต่รถครุยเซอร์รุ่นใหญ่ ได้เปิดตัวรถที่ไม่มีใครคาดคิดอย่าง Harley-Davidson VR1000 รถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์คันแรกของค่าย เนื่องจากในสมัยนั้นเครื่องยนต์แบบ V-Twin กำลังประสบความสำเร็จในสนามแข่ง จากผลงานการเป็นแชมป์โลกของ Ducati 888 และ 916

และนั่นก็ทำให้ค่ายตราโล่เห็นโอกาสปฏิวัติตัวเอง จากค่ายรถที่หากินแค่กับตำนานเก่า มาเป็นค่ายรถร่วมสมัยที่ชูจุดเด่นด้านเทคโนโลยี และผลงานที่จับต้องได้ในสนามแข่ง เพราะยังไงตัวเองก็มีจุดขายเป็นเครื่องยนต์แบบ V-Twin ที่กำลังประสบความสำเร็จอยู่แล้ว

ตัวรถจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ปฏิวัติการออกแบบของค่าย พัฒนาร่วมกับ Cosworth และ Roush ใช้เลเอ้าท์แบบ V-Twin 60 องศา, ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ, DOHC 4 วาล์วต่อสูบ จากเดิมใช้การระบายความร้อนด้วยอากาศ ลูกสูบกาง 45 องศา ใช้ก้านกระทุ้ง และมีแค่ 2 วาล์ว ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามาถือเป็นของใหม่สำหรับค่ายรถรายนี้

ปริมาตรกระบอก 996 ซีซี ช่วงชักสั้นแบบรถสายสนาม พละกำลังสูงสุด 135 แรงม้า ถือแรงเอาเรื่อง และใกล้เคียงกับคู่แข่งคลาสเดียวกันจากค่ายอื่น ส่งกำลังด้วยเกียร์ 5 สปีด, เครื่องยนต์ลูกนี้ถูกติดตั้งอยู่ในเฟรมอลูมิเนียม แน่นอนว่าตามสูตรรถแข่ง, พร้อมแฮนด์หมอบแบบจับโช้ค, น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 176 กิโลกรัม

หน้าตาโดยรวมถือว่าโดดเด่นจากคู่แข่งรุ่นอื่น เพราะมันความมนกลมมากกว่าเหลี่ยมสัน แถมยังเป็นแบบฮาร์ฟแฟริ่ง แทนที่จะเป็นฟูลแฟริ่งตามสมัยนิยม, ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบหัวกลับ ด้านหลังแบบสปริงเดี่ยว, ระบบเบรกหน้าแบบดิสก์คู่ ด้านหลังแบบดิสก์เดี่ยว ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์แอ็กเซียลเม้าท์

ตัวรถถูกผลิตขึ้นมาประมาณ 50-60 คัน กับค่าตัวที่ประมาณ 50,000 USD ซึ่งถือว่าสูงมากไม่ว่าจะใช้มาตรฐานค่าเงินของยุคไหนก็ตาม และนั่นทำให้มันกลายเป็นของหายากที่หลายคนอยากเก็บสะสมเอาไว้กับตัว

แต่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถทำตามเป้าหมายดั้งเดิมของมันได้ดีเท่าไร เพราะมันถูกใช้แข่งขันตั้งแต่ปี 1994 – 2001 ในรายการแข่งประจำบ้านอย่าง AMA Superbike ซึ่งผลงานดีที่สุดคือการติดโพเดียมอันดับที่ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวรถประสบปัญหามากมายระหว่างพัฒนา รวมถึงการยืนระยะในการแข่งขัน ทำให้รถคันนี้ถูกหลายคนลืมเลือนไปในประวัติศาสตร์
แต่ในปัจจุบันพวกเขาก็กลับมาให้ความสนใจในการแข่งขันอีกครั้ง เช่นผลักดันและลงแข่งขันรายการรถครุยเซอร์สายสนามสุดแปลกอย่าง The King of The Bagger แต่คนนอกอเมริกาอย่างเราก็คงอยากเห็นพวกเขาแข่งด้วยรถสปอร์ตจริง ๆ มากกว่า
อ่านข่าวสาร Harley-Davidson เพิ่มเติมได้ที่นี่