เปิด ประวัติ Johann Zarco แชมป์โลก Moto2 - 2 สมัย ผู้สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยท่า "แบ็คฟลิป"

กลับมาสู่ช่วงของการเปิดประวัตินักบิด MotoGP กันอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ เป็น ประวัติ Johann Zarco เกิดเมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม ปี ค.ศ.1990 ที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส และได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในปี 2004 กับรายการ Minimoto Championship จากนั้นในปี 2005 Zarco ก็ทำผลงานได้ดีคือเป็นรองแชมปฺในรุ่น Senior Mini European Championship และในปี 2006 ก็เป็นรองแชมป์อีกครั้งในรุ่นที่ใหญ่กว่าเดิมคือ European Open Championship

พอถึงปี 2007 Zarco ก็ได้เลื่อนมาแข่งในเวทีที่จะเป็นประตูแรกสู่ MotoGP นั่นก็คือเวที Red Bull Rookies Cup และเข้าก็คว้าชัยไปได้ถึง 4 สนามในปีนั้น สะสมคะแนนไปได้ 159 แต้ม ทว่าก็ยังเป็นเพียงรองแชมป์อยู่ดี แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาได้เข้าไปฝึกเข้มต่อใน Red Bull MotoGP Academy ปี 2008

ในปี 2009 Zarco ได้เข้ามาเป็นนัักบิด GP125 ซึ่งเป็นรุ่นเล็กสุดของ MotoGP ณ ขณะนั้นอย่างเต็มตัวกับทีม WTR San Marino (ใช้รถแข่งของ Aprilia) แต่ทำผลงานดีที่สุดได้แค่เพียงอันดับ 6 ที่ Mugello นอกนั้นก็ไปป้วนเปี้ยนอยู่อันดับ 10 กว่าๆจึงส่งผลให้เก็บแต้มเข้ากระเป๋าไปได้เพียง 32.5 คะแนนเท่านั้น และจบอันดับบนตารางคะแนนสะสมเพียงแค่อันดับที่ 20

Zarco ยังคงอยู่กับทีม WTR ต่อไปในปี 2010 แต่ในปีนี้แม้จะทำผลงานดีที่สุดได้เพียงอันดับ 6 เช่นเดิม แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าจบในอันดับที่ต่ำกว่าเลข 2 หลักลงมาแทบทั้งหมด จึงทำให้เขามีคะแนนสะสมรวมดีขึ้นคือ 77 แต้ม จบอันดับที่ 11 บนตารางคะแนนสิ้นปี แม้ว่าจะไม่ได้ลงแข่งใน 3 สนามสุดท้ายเลยก็ตาม

ปี 2011 Zarco ได้ย้ายมาอยู่ทีม Ajo Motorsport ซึ่งถือเป็นทีมแถวหน้าของรุ่น GP125 ในช่วงนั้น และนั่นจึงทำให้มันช่วยส่งเสริมนักบิดรายนี้จนติดโพเดี้ยมเป็นว่าเล่นตลอดฤดูกาล นั่นก็คือ 11 จาก 17 สนาม และมีหนึ่งครั้งที่คว้าชัยได้นั่นก็คือที่ประเทศญี่ปุ่น ทว่านั่นก็ยังทำให้เขาได้เป็นแค่เพียงรองแชมป์ตอนจบฤดูกาลอยู่ดี

ในที่สุดพอถึงปี 2012 Zarco ก็ได้เลื่อนขึ้นมาแข่งในรุ่น Moto2 เสียที แต่เป็นกับทีม JiR ซึ่งเป็นทีมระดับกลาง ทำให้ผลงานของเขายังทรงๆตัวอยู่นั่นก็คือเก็บแต้มไปได้เพียง 95 คะแนน จบอันดับ 10 บนตารางคะแนนสะสมตอนสิ้นปี และมีรางวัลเป็นนักบิดหน้าใหม่ที่ดีที่สุดในปีนั้นมาปลอบใจ ส่วนในปี 2013 เขาก็ได้ย้ายมาอยู่กับ Ioda Project Racing Team แล้วใช้เฟรมของ Suter ซึ่งนั่นทำให้เขาเก็บแต้มได้มากกว่าฤดูกาลที่แล้วอีกพอสมควร เป็น 141 แต้ม แต่ด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในปีนั้น ทำให้เขาจบแค่อันดับ 9 บนตารางคะแนนสะสมตอนสิ้นปี

ปี 2014 Zarco ก็ย้ายทีมอีกครั้ง ไปอยู่กับ Caterham Moto และขึ้นโพเดี้ยมไปได้ 4 สนาม นอกนั้นก็อยู่กลุ่มกลางตาราง แต่ก็จบอันดับตอนสิ้นปีดีกว่าเดิม คืออันดับที่ 6 ด้วยคะแนนสะสม 146 แต้ม พอเข้าสู่ปี 2015 เขาก็ได้กลับมาร่วมทีม Ajo Motorsport เหมือนตอนที่ยังแข่ง GP125 อีกครั้ง และในคราวนี้เขาก็ได้มาจับคู่กับตัวแข่งใหม่ที่มาพร้อมเฟรมของ Kalex ซึ่งมันดูจะเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเลยทีเดียว เพราะมันทำให้เขาได้กลายเป็นแชมป์ Moto2 ตอนสิ้นปีทันที จากการคว้าชัยไปถึง 8 สนาม 14 โพเดี้ยม และโพลโพซิชันอีก 7 ครั้ง สะสมแต้มไปอีก 352 แต้ม ซึ่งถือว่าสูงมากๆ

ในปี 2016 Zarco ยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่อง จนกลายเป็นแชมป์ Moto2 ในปีดังกล่าวได้อีกครั้ง และทำให้เขาเป็นนักบิดคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์รุ่นกลางนี้ 2 ปีติดทันที ส่วนผลงานในปีนั้นของ Zarco ก็มีทั้งการคว้าชัยไปทั้งหมด 7 สนาม โพเดี้ยมรวม 10 สนาม 7 โพลโพซิชัน และแต้มสะสมตอนสิ้นปีทั้งหมด 276 คะแนน นอกจากนี้ยังมีท่าประจำตัวตอนคว้าชัยชนะที่ทำให้คนติดตาเพิ่มมากขึ้นออกมาอีก นั่นก็คือ “ท่าตีลังกาหลัง” ที่เขาทำทุกครั้งหลังเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1

จากผลงานดังกล่าว ทำให้ในปี 2017 ทาง Tech3 Yamaha จึงเลือก Zarco เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมทันที และก็ดูเหมือนว่าเขาจะทำผลงานได้ดีมากๆตั้งแต่สนามแรก เพราะสามารถทิ้งห่างนักบิดแถวหน้าได้ถึง 2 วินาทีตั้งแต่การแข่งขันรอบแรกที่กาตาร์ ทว่าด้วยความใจร้อนบวกกับการติดนิสัยชอบใช้ยาง Soft จึงทำให้พลาดล้มไปในที่สุด

แต่หลังจากนั้นเขาก็สามารถป่วนนักบิดหัวแถวได้อย่างต่อเนื่อง เสียก็แค่เพียงชอบแผ่วปลาย ทำให้จบอันดับที่เฉียดโพเดี้ยมอยู่หลายครั้ง เว้นก็เพียงแต่การขึ้นโพเดี้ยมในอันดับ 2 ที่สนามบ้านเกิดอย่างเลอมังส์กับวาเลนเซีย และเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 3 ที่มาเลเซีย รวมแล้วเก็บแต้มไปได้ทั้งหมด 174 คะแนน และจบอันดับที่ 6 บนตารางคะแนนสะสมซึ่งก็ถือว่าไม่ได้แน่เท่าไหร่เพราะนั่นทำให้เขาได้เป็นนักบิดทีมรองที่มีคะแนนดีที่สุด รวมถึงกลายเป็นนักบิดหน้าใหม่ยอดเยี่มในปีนั้นอีกครั้งด้วย

พอเข้าสู่ปี 2018 Zarco ก็ยังคงรักษามาตรฐานผลงานเดิมเอาไว้ นั่นก็คือคว้าโพเดี้ยมอันดับ 2 ไป 2 ครั้ง ที่อาร์เจนตินากับสเปน (เฆเรซ) และดับดับ 3 ไปอีก 1 ครั้ง ที่มาเลเซีย จนจบอันดับที่ 6 ในตารางคะแนนสะสมเช่นเดิมด้วยแต้มทั้งหมด 158 แต้ม

ถึงปี 2019 ด้วยเหตุการณ์สุดช็อคคือทาง Yamaha ไม่สามารถซัพพอร์ทตัวแข่งสเปคเดียวกับโรงงานให้ Zarco ได้อย่างที่ Tech3 ต้องการสนับสนุนลูกน้องสุดรักในสังกัดของตน ทำให้ทางทีมแข่งรายนี้ต้องตัดสินใขไม่ต่อสัญญากับค่ายส้อมเสียงและไปทำทีมให้กับ KTM แทน ซึ่งทาง Zarco นั้นก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าตัดสินใจด้วยเหตุผลอย่างไรบ้าง แต่ในคำตอบสุดท้ายก็คือเขาเลือกที่จะย้ายไป KTM กับ Tech3 ด้วย ทว่าเป็นการไปออยู่กับทีมโรงงานค่ายไร่ส้มไม่ใช่ทีมรองอีกต่อไป

อย่างไรก็ดี ด้วยสไตล์การขี่ที่ยังไม่เข้าฝักกับตัวแข่งขุมกำลัง V4 แถมยังเป็นตัวแข่งที่พึ่งตั้งไข่ออย่าง KTM RC16 ทำให้ Johann Zarco ไม่มั่นใจในการขี่ตัวแข่งคันนี้อย่างมาก จนไม่สามารถกดอันดับตอนเข้าเส้นชัยที่ดีๆสักครั้งได้เลย แถมพลาดล้มในระหว่างแข่งขันไปหลายครั้ง จนท้ายที่สุดเขาต้องขอฉีกสัญญากับทีมเพราะฝืนขี่ต่อไปไหวหลังจบการแข่งที่มิซาโน ประเทศอิตาลี

ทว่าด้วยความกระหายการแข่งขัน และมองเห็นช่องว่างที่อาจจะได้เสียบแทนเก้าอี้ของ Jorge Lorenzo ในซุ้ม Honda ทำให้เขาอยากพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง ด้วยการไปเป็นนักบิดมือแทน Takaaki Nakagami ใน Idemitsu Honda ที่ต้องไปพักรักษาตัวเพราะการผ่าตัดหัวไหล่ (อาการเดียวกับ Marc Marquez) ทว่าก็ลับสู่ลูปเดิมอยู่ดีนั่นคือจบอันดับที่ 13 ที่ฟิลิปไอส์แลนด์ และล้มไปอีก 2 สนาม ที่เซปังฯกับวาเลนเซีย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ในการแข่งขัน MotoGP ปี 2020 Johann Zarco ก็ได้รับโอกาสอีกครั้งจากทาง Avintia Ducati ด้วยการผลักดันของผู้ใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส จนทำให้ Karel Abraham นักบิดพ่อรวยต้องถูกเด้งออกจากทีมไปทั้งๆที่ยังไม่หมดสัญญา ซึ่งผลงานของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น เราคงต้องมารอดูกันต่อไปนับจากนี้ครับ