รีวิว 2023 Yamaha Xmax300 ปรับโฉม New ที่หน้าตา หล่ออีกนิด ปราดเปรียวขึ้นอีกหน่อย ความแรงยังคงเดิม
รีวิว 2023 Yamaha Xmax300 by MotoRival ณ สนามช้างฯ ครั้งนี้ เราได้มีโอกาสมาทดสอบรถกันก่อน เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน TIME2022
ซึ่งที่ต้องบอกว่า MotoRival เราได้นำเสนอข่าว 2023 Yamaha Xmax ใหม่ เปิดตัวกันที่ ต่างประเทศ และหลังจากนั้นก็ได้พาทุกคนไปรับชมคันจริงกันจากงาน EICMA2022 กันไปแล้ว ซึ่งยุโรป จะมีทั้ง 125 และ 300 แต่ไทย แน่นอนครับ ทำตลาดเฉพาะ 300 เท่านั้น
โดย สเป็กไทยจะมาเพียงรุ่นเดียว คือ 2023 Xmax300 Connected ซึ่งมันคือ การผสมผสาน เวอร์ชั่น STD และ TechMax เข้าไว้ด้วยกัน
สำหรับดีเทลรูปลักษณ์ สเป็กตัวรถผมขอไม่กล่าวซ้ำ เพราะได้บอกรายละเอียดทั้งหมดไปแล้วในคอนเท้นต์ก่อน สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่
ดังนั้นจะไม่ขอพรีวิว ซ้ำ มาเข้าที่ตัวรีวิว การขี่ในสนามช้างฯ กันเลย ต้องบอกก่อนนะครับว่า ครั้งนี้ เราได้เทสแค่ 3 รอบสนาม (ผ่านหน้า Pit 2 รอบ)
และไม่ใช่รูปแบบ Full Racing เพราะทาง Yamaha ได้ออกแบบ ให้เป็น Station ต่างๆ ตั้งแต่ Slalom, Pylon Snake และมีการตั้ง Pylon ดักไว้เป็น Chicane 3 จุด ได้แก่ จุดแรก ก่อนถึง โค้ง T3 จุดที่ 2 ก่อนถึงโค้ง T4 และ จุดที่ 3 ก่อนถึงโค้ง T12
แน่นอนครับว่า ไม่ต้องถามหาถึง TopSpeed เพราะ สุดทางตรงก่อนถึง Chicane ผมได้แค่ 140 kmph เท่านั้น
ขอเริ่มกันที่ท่านั่ง
2023 Xmax300 หลัก จุดที่เปลี่ยนในเรื่อง Riding Position นันก็คือ เบาะที่แม้ความสูงเท่าเดิม แต่มันออกแบบใหม่ ให้เข้าแคบเข้าไปอีกนิด ซึ่งก็ช่วยให้ลงเท้าได้เต็มมากกว่าเดิมนิดนึง
ผมสูง 175cm สวม Racing Boot เหยียบลงได้พอดีฝ่าเท้า
แต่อย่างไรก็ดีผมมองว่าจุดนี้ คนตัวสูงช่วงต่ำกว่า 170cm ลงไปก็ยังต้องเขย่ง ลำบากอยู่ดี
ซึ่งสิ่งที่ผมชอบจริงๆ กับเบาะตัวนี้ คือ มันดูแบนราบ แม้อาจจะไม่ได้นุ่มเหมือนเดิม แต่ผมว่ามันนักแล้วกระชับกว่าเบาะเดิมพอสมควร การขยับตำแหน่งต่างๆ เวลาขี่ในสนามเรซซิ่งเช่นนี้ ดูดีขึ้น
ตัวดันหลังก็ดูกำลังพอดีเวลาเราขี่ทางตรงก็ขยับก้นไปด้านหลังดันช่วงสะโพกได้ดี
นอกนั้นตำแหน่งแฮนด์วางเท้า ผมว่าเหมือนเดิม
ส่วนบั้นท้าย ผมรู้สึกว่ามันกระชับขึ้น ด้วยการออกแบบทรวดทรงใหม่ เชื่อว่าถ้าไปขี่ในเมืองน่าจะคล่องตัวยิ่งกว่าเดิม
ต่อกันที่คนซ้อน เบาะนั่งคนซ้อน ผมว่ามันไม่นุ่มเท่าเดิม แต่ดูแล้ว ถ้านั่งยาวๆ น่าจะไม่เมื่อยก้นเพราะมันไม่จม ขณะที่แฟริ่งท้าย แม้จะปรับใหม่ แต่ความกว้างของมันก็ยังกว้างอยู่ดี คนซ้อนก็ยังต้องนั่งแบะขาอยู่ และการที่ปรับเส้นสายแฟริ่งใหม่ ผมพบว่าการที่มันมีมุมแบบ Nmax เลยรู้สึกดันน่องมานิดหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วก็ยังไม่ถึงกับอึดอัด
ขุมกำลังเครื่องยนต์ 1 สูบ SOHC 4 วาล์ว หม้อน้ำ 292cc บล็อกเดิม เนื่องจาก แรงอยู่แล้ว และมันได้รับการออกแบบให้ผ่านค่าไอเสีย Euro5 แล้วด้วย
กำลัง 28 ps@7250rpm แรงบิด 29Nm@5750rpm
การตอบสนองคันเร่งแอบรู้สึกเปิดแล้ว ไม่กระชากเหมือนเดิม ขึ้นแบบเนียนๆ หน่อย แต่ความแรงก็แน่นอนครับ ไม่ได้ ต่างจากเดิม ผมเปิดคันเร่งออกจากโค้ง T1 ไปถึงก่อน Chicane ที่ตั้งดักไว้ก่อน T3 ได้ช่วง 140 kmph ถ้ามีโอกาสได้ลอง TopSpeed Test ไว้จะมาอัพเดท ให้เพิ่มเติม
โดยรวม สำหรับผมเอง ที่เคยใช้ Xmax เก่ามาก่อน ก็รู้สึกว่าเครื่องเดิมๆ มันก้แรงเพียงพอแล้ว จะขี่ในเมือง หรือเดินทางไกล ก็ไปได้สบายๆ
แต่ถ้าไม่หนำใจ จริงๆ มีสูตรโมดิฟาย มากมาย ทั้งทำชาม เม็ดตุ้มแรงเหวี่ยง ก็สามารถทำดันโลได้จมจมไมล์
ระบบกันสะเทือน
โช้กหน้า Telescopic ช่วงยุบ 110 มม.
โช้กหลัง ช่วงยุบ 95 มม.
ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ภาพรวมการขับ แน่นอน มุม Rake ระยะ Trail เท่าเดิม ทำให้การคอนโทรลรถดูง่าย ในช่วง Slalom และ Pylon Snake ที่ยังพลิกได้ไว แต่ ต้องย้ำก่อนว่า กับระยะโช้กเท่าเดิม เพราะมันมีช่วงให้ตัวที่สูง ทำให้พลิกได้ง่าย และไว ต่างจาก Scooter รถเล็ก หรือฝั่งยุโรป ที่มันจะออกแนวช่วงล่างแข็งๆ หนักๆ พลิกรถคอนโทรลยากกว่า
และขอย้ำอีกว่าใครไปโหลดโช้กหน้า ค่า Rake Trail เปลี่ยน จะพลิกรถยากขึ้น ขณะที่วิ่งด้วยความเร็วทางผม พบว่าหน้ายัง OK ไม่แกว่ง ด้วยการที่มันเป็นแผงคอสองชั้น แต่เวลาเราพลิกรถเข้าโค้งผมพบว่า หน้ามันดูไม่ค่อยนิ่งเท่าไร ซึ่งอาจจะต้องกดโน้มตัวไปเยอะ เพื่อทิ้งน้ำหนักให้ไปที่ด้านหน้ามากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งผมว่าอาจเป็นที่การเซ็ทโช้กหน้า อย่างที่บอก ช่วงโช้กหน้ายาว และออกแบบให้พลิกไว หน้าเบา ดังนั้นถ้ามีการปรับเซ็ทน้ำมันโช้กหน้าใหม่ อีกหน่อย น่าจะทำให้เข้าโค้งได้สนุกขึ้น
ส่วนโช้กหลัง จากที่ขี่บนแทร็ก ผมว่า ok เลย มันไม่มีอาการแแข็งเด้ง ขี่แบบไปเรื่อยๆ ไม่ได้หวดหนักๆ ผมว่ากำลังดี แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าเทโค้งเข้าไปเร็วๆ แรงๆ มันอาจไม่เฟิร์มนัก
ซึ่งจุดนี้ก็แก้ได้ ด้วยการเปลี่ยนโช้กหลังแต่ง เพราะมันเป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้ใช้ Xmax มักเปลี่ยนใส่กันอยู่แล้ว
ระบบเบรก จานดิสก์หน้า-หลัง พร้อม ABS
คาลิปเปอร์ 2 pots ด้านหน้า และ 1 pot ด้านหลัง
ทาง Yamaha บอกว่าด้วยการเปลี่ยนก้านเบรกใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้มันสามารถเบรกไล่น้ำหนักได้ดีกว่าเดิม เพราะเบรกเดิม ในตัว Xmax เก่า มีปัญหาเบรกไม่ค่อยอยู่ เนื่องจาก ไม่สามารถกดไล่น้ำหนักได้ ต้องกดลงลึก ลงน้ำหนักมากพอสมควร จึงมาแก้ปรับจูนก้านเบรกใหม่ในตัวใหม่นี้
ผมก็พบว่า ประสิทธิภาพเบรก ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก แต่ก็ยอมรับว่า มันบีบไล่น้ำหนักได้ดีขึ้น แต่ด้วยความที่ผมเทสในสนาม เลยพอกะระยะเบรกได้อยู่ ด้วยการเผื่อเอาไว้แล้ว
แต่ขี่บนถนนจริง คงต้องมารอดูกันอีกที สำหรับตัวใมใหม่ 2023 เพราะรุ่นเก่า ผมรับรถวันแรก ไม่คุ้นชินกับน้ำหนักเบรก บอกเลยว่า เบรกทะลุ ไปหลายช็อต หากซัดๆมา
สรุป รีวิว 2023 Yamaha Xmax300 ที่ส้อมเสียง เรียกเพียงแค่ New ด้วยการปรับหน้าตาหล่อคม ทันสมัยขึ้น ปรับท่านั่งนิดหน่อยดูเอื้อต่อสรีระไซส์เอเชีย และการจราจรเมืองไทยขึ้นอีกนิด จากบั้นท้ายใหม่
สมรรถนะ แรงดีเช่นเดิม ภาพรวมการคอนโทรลไม่ต่างจากเดิมนัก เอาเป็นว่าเรื่อง Performance ถ้าใครไม่พอใจ ผมว่าสามารถไปแต่งต่อได้
แต่ ออปชั่น หรือ รูปลักษณ์ตัวรถ มันปรับกันไม่ได้ โดยเฉพาะจอสี TFT ที่ให้ลูกเล่นระบบเชื่อมต่อมา อันนี้ผมว่าใช้งานได้จริง เพราะเวลามีคนโทรมา จะเห็นรายชื่อ รวมถึงเวลาที่เราฟังเพลง เราสามารถกดเลือก หรือ เล่นเพลง และมีรายชื่อเพลงขึ้นด้วย รวมถึงระบบนำทาง ที่เป็น Navi แสดงผล ไม่ใช่แบบ Turn by Turn หรือ แค่เสียง อันนี้ดีเยี่ยมครับ
โดย 2023 Yamaha Xmax300 มีให้เลือกด้วยกัน 5 สี คือ สีเขียว-ดำ (Dark Petrol), สีแดง-ดำ (Ruby Red), สีเทา (Ice Fluo), สีดำ (Midnight Black) และสีน้ำเงิน-ดำ (Icon Blue) ซึ่งเปิดราคาแนะนำที่ 189,900 บาท
อ่านข่าว Yamaha เพิ่มเติมได้ที่นี่
