ปิดจ็อปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2025 ที่ถึงแม้ว่าการแข่งขันในฤดูกาลนี้จะยังไม่จบลงอย่างเป็นทางการ แต่ว่าเราก็ได้แชมป์โลกของฤดูกาลนี้เป็นที่เรียบร้อย นั่นก็คือ Marc Marquez ที่สามารถรวบรัดตัดตอนการชิงแชมป์ได้ในรายการ JapaneseGP กับค่ายรถรายปัจจุบันอย่าง Ducati

แต่กว่าที่ Marc Marquez จะกลับขึ้นมายังจุดสูงสุดอีกครั้งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาต้องต่อสู้กับอาการบาดเจ็บ ปัญหากับตัวแข่งค่ายเดิม และไหนจะคู่แข่งรุ่นใหม่ที่ต่างก็แข็งแกร่งขึ้นในช่วงที่เขาไม่อยู่ วันนี้เราเลยจะพามาดูกันว่า เส้นทางการกลับมาของแชมป์โลกคนล่าสุดนั้นเป็นอย่างไร ตั้งแต่วันที่ล้ม ยันวันที่ยืนเหนือทุกคนได้อีกครั้ง

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2019 ซึ่งถือเป็นปีที่เขามีผลงานโดดเด่น ไร้เทียมทานที่สุดของชีวิตของตัวเอง สมัยยังอยู่กับทีมแข่ง Honda เพราะจากการแข่งขันทั้งหมด 19 สนาม Marc สามารถคว้าชัยชนะไปได้ถึง 12 สนาม และเป็นรองแชมป์อีก 6 สนาม และไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาทำอันดับได้ต่ำกว่านั้น จะมีการล้มจนไม่จบการแข่งขันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ต่อมาในฤดูกาล 2020 เขาได้ทำการต่อสัญญาระยะยาวพิเศษถึง 4 ปี ร่วมกับค่ายปีกนก ซึ่งนี่ถือเป็นสัญญาณที่ดีในอาชีพของเจ้าตัว แต่ทุกอย่างที่ควรจะสวยงามก็จบลง ตั้งแต่การแข่งขันนัดเปิดฤดูกาลที่สนาม Jerez เพราะ Marc ประสบอุบัติเหตุล้มอย่างแรงจนกระดูกต้นแขนข้างขวาหัก ถือเป็นอาการบาดเจ็บที่รุ่นแรง และต้องใช้เวลาในการรักษาตัวนาน ส่งผลให้เขาไม่สามารถแข่งต่อได้อีกเลยในฤดูกาลนั้น

ถัดมาในฤดูกาล 2021 Marc Marquez ได้ประกาศการกลับมาอีกครั้งในสนามที่ 3 ของฤดูกาล หลังจากที่เขาพลาดการแข่งขัน 2 สนามแรกไป เนื่องจากรักษาตัวไม่ทัน ถึงแม้ว่าจะมีความทุลักทุเลอยู่บ้างในช่วงแรก เนื่องจากห่างจากการแข่งขันไปนาน เช่นการล้มและไม่จบการแข่งขันถึง 3 สนามติดต่อกัน

แต่สุดท้ายเขาก็กลับขึ้นมาบนจุดสูงสุดของโพเดียมอีกครั้งในที่ Sachsenring และเป็นการคว้าชัยชนะครั้งที่ 11 ติดต่อกันที่สนามดังกล่าว โดยในฤดูกาลนั้น Marc ก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้เพิ่มอีก 2 สนาม มองแค่นี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนกว่าเด็กระเบิดกลับมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจบฤดูกาลดี เขาก็ตัดสินใจถอนตัวออกจากการแข่งขัน ไม่ลงต่อสู้ต่อในอีก 2 สนามที่เหลือ เพื่อรักษาตัวให้หายขาดจากการบาดเจ็บ และเตรียมตัวสำหรับการล่าแชมป์ฤดูกาลถัดไป

ถึงอย่างนั้นโชคร้ายก็กลับมาอีกครั้งในฤดูกาล 2022 ที่สนามที่ 2 ของฤดูกาล Mandalika เขาประสบอุบัติเหตุล้มหลายครั้งในช่วงซ้อม จนต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล และถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บอะไรร้ายแรง เรียกได้ว่าในฤดูกาลนั้น Marc Marquez ลงแข่งแบบมา ๆ หาย ๆ เพราะต้องผ่าตัดแขนเป็นรอบที่ 4 แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นนักแข่งของ Honda ที่ผลงานดีที่สุดอยู่ดี

และทุกอย่างก็แย่ลงในฤดูกาล 2023 เพราะตั้งแต่สนามแรกของฤดูกาลที่ Portimao เจ้าตัวก็ไปปะทะกับ Miguel Oliveira นักแข่งเจ้าบ้านจนต้องออกจากการแข่งขันทั้งคู่ พร้อมยังโดนคาดโทษติดตัว ตอนที่กลับมาแข่งที่ Mugello ก็ดันปะทะกับ Jack Miller จนเจ็บซ้ำซ้อน ส่งผลให้ในการแข่งขัน 9 สนามแรก เจ้าตัวลงแข่งได้จริงแค่ 4 สนาม และทุกสนามนั้นไม่จบการแข่งขัน

และเมื่อ Marc สามารถกลับมาแข่งต่อได้ในครึ่งหลัง ผลงานของเขาก็ถือว่าอยู่ในช่วงกลางแถว แต่นั่นก็ทำให้เจ้าตัวเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอาชีพของตัวเอง ว่ายังมีความสามารถมากพอที่จะลุ้นแชมป์โลกหรือไม่ ประกอบกับการที่ Honda ไม่มี Marc คอยช่วยพัฒนารถ ทำให้ผลงานโดยรวมของค่ายแย่ลง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจแยกทางกับบ้านหลังเดิมในที่สุด

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2024 เมื่อเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับทีม Gresini Racing กับน้องชายของตัวเอง Alex Marquez พร้อมตัวแข่งคันใหม่จากค่าย Ducati ผลงานในฤดูกาลนี้เรียกได้ว่าเป็นการชุบชีวิตให้เขาอีกครั้ง เพราะตลอดทั้งฤดูกาลเขาสามารถขี่เกาะกลุ่ม 5 อันดับแรกได้แบบคงเส้นคงวา และประกาศการกลับมาอีกครั้งที่ Aragon โดยการคว้าแชมป์ได้สำเร็จ จบฤดูกาลนั้น Marc สามารถคว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม กับอีก 1 Sprint Race และติดโพเดียมอีกหลายครั้ง

ผลงานที่ว่านั้นส่งให้เขาได้ตำแหน่งในทีมโรงงาน Ducati ตัดหน้าแชมป์โลกในฤดูกาลนั้นอย่าง Jorge Martin ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทีมโรงงาน เพราะ Marc Marquez สามารถเป็นแชมป์ในทั้งในการแข่งขันวันเสาร์ และอาทิตย์ได้ในการแข่งนัดเปิดฤดูกาลที่ประเทศไทย และทำแบบเดิมซ้ำได้ถึง 11 สนามในฤดูกาลนี้ ก่อนที่จะสามารถปิดงานได้อย่างเป็นทางการที่ Motegi ถึงแม้จะยังเหลือการแข่งขันอีก 5 สนาม ก็ตาม
นั่นส่งผลให้ Marc Marquez กลายเป็นแชมป์โลก 7 สมัยในรุ่นใหญ่ เทียบเท่า Valentino Rossi และตามหลังสุดยอดตำนาน Giacomo Agostini เพียงแค่สมัยเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีสถิติอื่นที่น่าสนใจอย่าง การเป็นแชมป์โลกคนที่ 6 ที่สามารถคว้าแชมป์ได้กับรถ 2 ค่าย และเป็นแชมป์โลกที่ห่างหายจากการเป็นแชมป์นานที่สุดถึง 5 ปี เพราะถ้าเป็นคนอื่นก็คงไม่ได้กลับมาจุดสูงสุดแบบนี้อีกครั้ง
อ่านข่าวสาร MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่