โดยปกติแล้ว สำหรับการแข่งขัน Pikes Peak ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ทาง Ducati มักจะส่งเจ้า Multistrada รถมอเตอร์ไซค์แนวแอดเวนเจอร์-ทัวร์ริ่งไบค์รุ่นใหญ่สุดของพวกเขาลงแข่ง แต่สำหรับปี 2019 นี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะส่งรถมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่นลงไป แถมยังไม่ใช่รุ่นที่มีขายอยู่ในปัจจุบัน แต่อาจเป็นรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ต-แน็กเก็ทที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือเจ้า Streetfighter จากข้อมูล ที่เราได้รับมา ระบุไว้ว่า ในการสมัครแข่งขัน Pikes Peak ปี 2019 ที่จะจัดขึ้นในอีกราวๆ 5 เดือนข้างหน้านั้น ทาง Ducati ได้ระบุชื่อรุ่นตัวรถที่ใช้แข่งว่า “Ducati 2019 TBD” ส่วนรุ่นที่จะทำการแข่งขันคือ “Exhibition Powersport” ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคลาสที่เหล่าทีมต่างๆมักจะใช้รถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ต-แน็คเก็ทลงแข่งขัน เนื่องจากกติการะบุไว้ชัดเจนว่ารถแข่งที่จะลงรุ่นนี้ต้อง ไม่ใช้(ฟูล)แฟริ่ง และ ใช้แฮนด์บาร์เท่านั้น ห้ามใช้แฮนด์จับโช้ก ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาอาจถือโอกาสส่ง Streetfighter V4 รุ่น Prototype ที่เปรียบเสมือนร่างถอดเปลือกของ…
Author: admin
หลังจากที่เมื่อวันก่อน เราได้มีการนำเสนอข้อมูลไปว่า ขณะนี้ทาง Triumph ได้เริ่มพัฒนา All-New Daytona 765 ซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ที่สาวกรอคอยแล้วเรียบร้อย ซึ่งในข้อมูลตอนนั้นยังเปนเพียงการนำเสนอภาพ Spyshot แต่ในครั้งนี้เรากลับได้รับคลิปทดสอบตัวรถมาให้เพื่อนๆได้รับชมกัน โดยจากคลิป แม้รายละเอียดจะดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก แต่จากการยืนยันของผู้ที่ถ่ายระบุไว้นั้น ยังไงเจ้ารถ Daytona ที่เห็นอยู่ว่ากำลังทดสอบในสนามในคลิปจะต้องเป็นรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 765cc แน่นอน เนื่องจากเจ้าตัวสังเกตเห็นว่าแครงก์เครื่องยนต์ของมันมีการประทับตราเอมเบลมของ Triumph แบบเดียวกับ Street Triple 765 ฝาแฝดร่างแน็คเก็ทของมัน ไม่เพียงเท่านั้น ตัวคาลิปเปอร์เบรกของมันเอง ก็ไม่ใช่รุ่น M4 แบบเดียวกับที่ใช้ในโฉม 675R แต่เป็นรุ่น Stylema ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทาง Brembo พ่ึ่งทำขึ้นมาเพื่อใช้เป็นคาลิปเปอร์เบรก OEM สำหรับรถมอเตอร์ไซค์สมรรถนะสูงๆของค่ายรถต่างๆ ดังนั้นอย่างน้อยๆ All-New Triumph Daytona 765 จะต้องมีรุ่นย่อยตัวท็อปรหัส R หรือสูงกว่าอย่าง RS ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อเพิ่มแน่นอน…
ไม่ว่าจะผ่านเวลาไปกี่ปี กีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ต ก็ยังคงเป็นกีฬาที่ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นค่อนข้างสูงอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการแข่งขันในระดับทวีปที่หลายคนต้องหมดเป็นหลักหลายล้านกว่าบาทเพื่อลงแข่งให้ได้ครบทุกสนามจนจบอีเวนท์ปีนั้นๆ และจากปัญหาที่ว่านี้เองจึงทำให้ทาง Yamaha อยากจัดอีเวนท์ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป และใช้งบน้อยๆเพื่อขยายโอกาสให้กับนักบิดหน้าใหม่ที่สนใจอยากสัมผัสความรู้สึกของการแข่งขันระดับยุโรปออกมา โดยใช้ชื่ออีเวนท์นี้ว่า European Cup Yamaha R3 bLU cRU ใช่ครับ แค่ช่ืออีเวนท์ก็บอกชัดเจนขนาดนี้ ตัวรถที่จะถูกใช้ในการแข่งขันก็คือเจ้า Yamaha YZF-R3 สปอร์ตเอนทรีไบค์จากตระกูล R-Series และการแข่งขันที่ว่านี้ ก็จะจัดขึ้นทั้งหมด 7 สนามต่อปี โดยจะวนไปตามสนามขนาดใหญ่ระดับประเทศทั่วยุโรป ซึ่งสองสนามในนั้นคือ เฆเรซ ประเทศสเปน, และ พอร์ทีเมา ประเทศโปรตุเกส ที่ใช้แข่งขันรายการ WSBK อยู่ด้วย ส่วนรุ่นการแข่งขัน จะแบ่งออกเป็นรุ่นสำหรับเด็กอายุระหว่าง 13-19 ปี ที่ทาง Yamaha EU ตั้งใจทำไว้เพื่อเฟ้นหาดาวรุ่งต่อไป และมีรุ่น Open ที่เอาไว้ให้มือเก๋าได้ลงแข่งขัน ส่วนค่าสมัครในเบื้องต้นก็อยู่ที่ 22,000 ยูโร…
หลังเกิดข้อพิพาทระหว่างกันตั้งแต่ปี 2016 ในที่สุดทางศาลเมืองมิวนิค ประเทศเยอรมัน ก็ได้ให้คำตัดสินเกี่ยวกับ กรณีที่ทาง Dainese เป็นโจทก์ฟ้องทาง Alpinestars ว่าจำเลยรายนี้ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ระบบถุงลม “D-Air” ด้วยการนำเทคโนโลยีคล้ายกันนี้ไปจำหน่ายในชื่อ “Air-Tech” โดยจากบทสรุปหลังผ่านการต่อสู้ในเรื่องของข้อมูลลิขสิทธิ์, สิทธิบัตรต่างๆ กว่า 3 ปี ปรากฏว่าทางศาลตัดสินให้ Alpinestars เป็นผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ถุงลมของ Dainese หรือ “D-Air” จริง และพวกเขาจะต้องงดการวางจำหน่ายเสื้อการ์ด และเรซซิ่งสูทที่ใช้เทคโนโลยี “Air-Tech” ในเชตประเทศเยอรมันไปโดยปริยาย นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าในอนาคต เหล่าประเทศในกลุ่มยุโรปอย่าง อังกฤษ, ฝรั่งเศส แม้แต่ในบ้านเกิดอย่างประเทศอิตาลีเอง ก็จะโดยประกาศแบนผลิตภัณฑ์ Alpinestars Air-Tech ในเขตประเทศตนเองด้วยเช่นกัน (ส่วนในบ้านเรายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ) ขอบคุณข้อมูลจาก Asphaltandrubber อ่านข่าวสาร Alpinestars เพิ่มเติมที่ได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival…
จากความจริงที่ว่า อัตราความเสี่ยงของการได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เมื่อเกิดอุบัติเหตุของผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์นั้นค่อนข้างสูง ทำให้เหล่าผู้ผลิตต่างๆก็ล้วนแต่สรรหาเทคโนโลยีความปลอดภัยมาป้องกันตรงนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็มีแต่เทคโนโลยีที่ป้องกันสาเหตุในเบื้องต้นเท่านั้น และไม่มีเทคโนโลยีที่เอาไว้ปกป้องผู้ขี่ ขณะเกิดอุบัตติเหตุเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีนักประดิษฐ์รายหนึ่งเกิดปิ้งไอเดียที่จะทำถุงลมสำหรับปกป้องผู้ขี่แบบใหม่ที่สามารถป้องกันตัวผู้ขี่ได้แทบจะ 100% ออกมา โดยหลักการในเบื้องต้น พวกเขาได้มีการระบุไว้ว่า ตัวถุงลมจะทำงานก็ต่อเมื่อตัวรถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับหนึ่ง แล้วจู่ๆเซนเซอร์ต่างๆบนตัวรถ ยกตัวอย่างเช่นเซนเซอร์ไจโร หรือ IMU สามารถจับได้ว่าตัวรถเกิดลดความเร็วลง (ชนด้านหน้า), เร่งขึ้นกระทันหัน (โดนชนท้าย) หรือเสียการทรงตัวชนิดที่นอกเหนือจากความตั้งใจของผู้ขี่ เท่านั้น สำหรับตัวถุงลมที่ว่านั้น จะติดตั้งไว้ด้านล่างเบาะนั่ง ซึ่งเมื่อผู้ขี่จะใช้งาน พวกเขาก็จำเป็นจำต้องรัดสายเข็มขัดของเบาะนั่ง (จากที่สังเกตมีอยู่ถึง 4 เส้น) เข้ากับตนเอง และถ้าเกิดเหตุการสุดวิสัยขึ้น ตัวเบาะก็จะหลุด(หรือดีด)ออกจากตัวรถ ต่อมาในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ถุงลมก็จะพองออกมาจากตัวเบาะและหุ้มตัวผู้ใช้ ราวกับขนมปังที่ใช้ห่อไส้กรอก ขณะที่ตัวสายเข็มขัดชั้นนอกจำนวน 2 เส้น ก็จะขยับขึ้นและลงไปตามถุงลมที่ป่องออก เพื่อป้องกันไม่ให้ขา และแขนของผู้ใช้กางออกจากตัวถุุงลม ซึ่งตัวผู้ขี่ไม่ต้องกังวลว่ามันจะแกะยากอะไร เนื่องจากสักพักตัวถุงลมก็จะยุบตัว แล้วสายรัดที่ว่าก็จะคลายตัวตามเช่นกัน อย่างไรก็ดี จากการเช็คข้อมูลเบื้องต้น ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีถุงลมได้เบาะนี้ จะยังอยู่แค่ในขั้นของการจดสิทธิบัตรโดยเจ้าของไอเดีย…
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ทาง Ducati Factory Team ก็เป็นผู้นำในเรื่องของเทคโนโลยี “วิงเล็ท” สำหรับตัวแข่งมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการเทสก่อนเปิดฤดูกาล MotoGP 2019 ครั้งล่าสุดที่พึ่งจบกันไปสดๆร้อนๆ ณ สนามเซปังฯ ประเทศมาเลเซีย พวกเขาก็ได้มีการใช้ชุดวิงเล็ทใหม่ก่อนใครเพื่อนเช่นเดิม โดยจากภาพจะเห็นได้ว่า ชุดวิงเล็ทใหม่ที่ติดตั้งลงไปบนแฟริ่งของตัวแข่ง Desmosedici GP19 นั้น มีความต่างจากวิงเล็ทแบบก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ แม้ตัววิงเล็ทด้านบนจะมีดีไซน์คงเดิม แต่ตัววิงเล็ทด้านล่างกลับถูกเปลี่ยนจากแบบกรอบสี่เหลี่ยม (ถ้ามองจากด้านหน้า) ชั้นเดียวขนาดใหญ่ ให้กลายเป็นกรอบสี่เหลี่ยมสองชั้นขนาดเล็ก ซ้อนกันบนตำแหน่งเดิม จากจุดนี้เองทำให้ “จำนวนปีก” ที่ติดรถอยู่จะเพิ่มขึ้นมาจากเดิม 4 ชิ้นต่อข้าง (รวมชิ้นบน) กลายเป็น 6 ชิ้นต่อข้าง ทำให้มันน่าจะสร้างแรงกดด้านหน้าที่มหาศาลมากยิ่งขึ้นอีกพอสมควร ไม่เพียงเท่านั้น ถ้ามองให้ลึกเข้าไปอีกนิด เราก็จะเห็นว่าพวกเขามีการทำ “ปลอกคาร์บอนทรงรี” ครอบกระบอกโช้กไว้ด้วย และแน่นอนว่านี่ก็เป็นอีกหนึงอาวุธที่ช่วยเสริมในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์เช่นกัน และด้วยของเสริมชิ้นใหม่ต่างๆที่ว่ามา ดูเหมือนว่ามันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งทีช่วยเสริมให้ Andrea…
อาจจะด้วยความที่สองนักออกแบบอย่าง Artem Smirnov จากประเทศเบลารุส และ Vladimir Panchenko จากประเทศยูเครน หลงไหลในกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นอย่างมากก็ว่าได้ จึงทำให้พวกเขาจับมือกัน ออกแบบเจ้า SIV S04 คอนเซปท์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่มีแรงบันดาลใจจากดาบญี่ปุ่น คันนี้ออกมา โดยอย่างที่เราได้กล่าวไปในข้างต้นว่าแท้จริงงานดีไซน์ของเจ้า S04 คันนี้นั้น ได้รับทั้งแรงบันดาลใจจาก “ดาบคาตานะ” และตามหลักปรัชญาผู้ใช้ดาบชนิดนี้ นั่นก็คือเหล่า “ซามูไร” ดังนั้นภาพลักษณ์โดยรวมของมันจึงดูเหมือนกับสันดาบญุึ่ปุ่นชื่อดัง แถมชุดเฟรมที่เป็นแบบคาร์บอนโมโนค็อกของมันเองก็ให้ความแข็งแรงมากกว่าเฟรมแบบทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันก็ให้กลิ่นอายที่ดูเรียบง่ายแต่ก็ดุดันกับตัวรถได้เป็นอย่างดี และเพื่อให้ตัวรถสามารถเข้ากันได้ดีกับผู้ขี่มากขึ้น ตัวเบาะนั่ง ของ SIV S04 จึงสามารถปรับขึ้น/ลง ส่วนพักเท้า ก็สามารถขยับไปด้านหน้า/หลังได้ ตามความถนัดและสรีระของผู้ขี่ ส่วนตัวแดชบอร์ดนั้นค่อนข้างล้ำพอสมควรเพราะออกแบบให้ฝังไว้ที่แผงคอเนียนไปกับระนาบแฮนด์บาร์เป็นอย่างดี สวิงอาร์มที่ทำงานกับโช้กคู่ด้านหลังก็ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบโช้กหัวกลับอย่างที่เราคุ้นเคย แต่ทางผู้ออกแบบได้มีการทำตัวกระบอกคาร์บอนทรงวงรีครอบปลอกโช้กเอาไว้ให้อารมณ์คล้ายกับฝักดาบ ขณะที่ตัวปลอกแฮนด์เองก็มีการพิมพ์ลายคล้ายกับด้ามดาบคาตานะ เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดกันสุดๆ ซึ่งน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วมันคงไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะนี่เป็นแค่ไอเดียที่ทางนักออกแบบได้คิดและร่างขึ้นมาเท่านั้น อ่านข่าวสาร มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ…
หลังจากที่เมื่อสิ้นเดือนก่อน เราได้มีการรายงานไปว่าขณะนี้ทาง Triumph ได้มีแผนที่จะผลิตโมเดลน้องเล็กรุ่นใหม่ร่วมมือ Bajaj และเตรียมเปิดตัวภายในปี 2021 โดยที่ยังเป็นข้อมูลจากวงในของสื่อในประเทศดังกล่าวเท่านั้น แต่ตอนนี้เราได้รับข้อมูลเป็นบทสัมภาษณ์ขอบ Rakesh Sharma ผู้บริหาร Bajaj Motorcycles ที่เข้ามาช่วยยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ให้หนักแน่นขึ้นอีกครั้ง ว่าแผนผลิตนั้นจะเกิดขึ้นจริงแน่นอน ส่วนช่วงเวลาก็คงไม่หนีไปจากข้อมูลในตอนแรกมากนัก “ข้อตกลงระหว่างเรากับ Triumph กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายที่จะได้ข้อยุติ, ทีม R&D ของทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำงานร่วมกัน และแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมากมาย, เราจะยุติข้อตกลงนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นเราคงพอจะบอกได้แล้วว่าเมื่อไหร่กันแน่ที่ Triumph รุ่นใหม่ ที่เป็นผลงานความร่วมมือระหว่างสองบริษัทจะถูกเปิดตัว แต่ผมคาดว่ามันต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปี ถึงจะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นได้” จากการเช็คข้อมูลรถมอเตอร์ไซค์รุ่นต่างๆที่ Bajaj ทำตลาดในประเทศอินเดียตอนนี้ คาดว่า Triumph ขนาดเล็กรุ่นใหม่ที่ว่านั้นจะต้องมีช่วงขนาดเครื่องยนต์ระหว่าง 250-500cc ขณะที่ดีไซน์ก็มีแนวโน้มที่จะอิงรูปแบบเดียวกับพี่ใหญ่ ที่นี่Bonneville T100 / ที่นี่T120 ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราคงต้องมาฟังข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งตอนที่ทั้ง Bajaj และ Triumph…
เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองอย่างแท้จริงสำหรับนักสะสมรถมอเตอร์ไซค์ในตำนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาวก MV Agusta หลังจากที่พวกเขาได้ออกมาประกาศผ่านสื่อว่าภายในช่วงค่ำวันนี้ (ตามเวลาประเทศเรา) ตัวแข่ง 750 prototypes หรือ 750s รุ่นปี 1975 จำนวนถึง 2 คัน จะถูกเปิดประมูลอย่างเป็นทางการโดยเจ้าของปัจจุบันที่เป็นอดีตนักขับรถแข่งสูตรหนึ่ง Formula1 เพื่อส่งมอบตำนานทั้งสองที่ว่านี้ต่อให้กับผู้ที่ต้องการ โดยสำหรับจุดเด่นของ MV Agusta 750s นั้น แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเฉดสี ฟ้า/แดง ที่โดดเด่นกว่าใคร แม้แต่ถังน้ำมัน กับเบาะนั่งเอง ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องสะดุดตาในความสวยงามของมัน นอกจากนี้ ตัวเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 743cc ระบายความร้อนด้วยอากาศ จ่ายน้ำมันด้วยคาบูเรเตอร์แบบดูดอากาศสดๆไร้หม้อกรอง ที่สามารถทำแรงม้าได้ราวๆ 72 HP ของมันเอง ก็ให้สุ้มเสียงที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก ส่วนตัวเลขเม็ดเงินหลังจบประมูลที่ประมาณการไว้ คาดว่า 1975 MV Agusta 750s ทั้งสองคันจะถูกปิดประมูลไปด้วยตัวเลขทะลุ 7.8…
หลังปล่อยให้มีเพียงกระแสเรียกร้องจากสาวกอยู่นาน ในที่สุดก็ถึงเวลาแล้วที่ทาง Triumph จะเริ่มเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโปรเจ็คท์ซุปเปอร์ไบค์พิกัดกลางอย่าง Daytona เสียที หลังจากมีช่างภาพตาดีแอบเห็นทางค่ายกำลังทดสอบมันอยู่บนถนนแห่งหนึ่งที่ประเทศสเปน โดยจากภาพ New Triumph Daytona (สามารถคลิกดูได้ที่นี่) ดูเหมือนว่าทาง Triumph จะยังอำพรางดีไซน์ตัวรถไว้โดยการใช้เปลือกนอกของ Daytona 675 สวมทับเอาไว้ แม้แต่ชุดเฟรมเองก็ยังดูเหมือนกับโฉมเก่าทั้งหมด ทว่าจุดที่สังเกตุได้ว่ามันต่างไปจากเดิมก็คือเครื่องยนต์ ที่ค่อนข้างแน่นอนว่าเป็นของ Street Triple 765 เพราะถ้าหากมันเป็นแค่ Daytona 675 แบบทั่วไปจริงๆ แครงก์เครื่องซ้ายขวาของมันจะต้องถูกแกะเป็นชื่อแบรนด์ “Triumph” แต่สำหรับแครงก์เครื่องยนต์ของรถโปรโตไทป์ที่ถูกทดสอบอยู่นั้น กลับมีการประทับตราสัญลักษณ์รูป “สามเหลี่ยม ตัว T” ไว้ทั้งสองฝั่งเหมือนกันฝาแฝดร่างแน็คเก็ทของมันชัดเจน นอกจากนี้ ทางช่างภาพยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ตัวรถ Daytona 765 – Prototype ที่ถูกทดสอบอยู่ ได้รับการติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นรุ่น TTX ของ Ohlins ซึ่่งเป็นรุ่นที่สูงกว่าตัวท็อปตอนยังเป็น Daytona…