ดูเหมือนว่าถ้าจะให้เรารอทาง Suzuki เปิดตัวแสครมเบลอรุ่นใหม่คงจะไม่ทันใจวัยรุ่นซักเท่าไหร่ ทำให้เมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ได้มีสำนักแต่งจากแดนโยเกิร์ตเปิดตัวชุดแต่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อแปลงโฉม SV650 ให้เป็นรถแสครมเบลออย่างที่ทุกคนคาดหวังไว้โดยใช้ชื่อชุดแต่งว่า “C-Racer” สำหรับชุดแต่ง C-Racer นั้นเป็นชุดแต่งที่ออกแบบมาเพื่อติดตั้งบน Suzuki SV650 ได้โดยตรงแบบไม่ต้องตัดต่อชิ้นส่วนใดๆทั้งสิ้น นั่นจึงหมายความว่าหากวันใดที่ผู้ขี่เริ่มเบื่อการตกแต่งในรูปแบบดังกล่าวแล้ว พวกเค้าก็สามารถถอดมันออกแล้วคืนสภาพรถให้เหมือนเดิมได้ในทันทีโดยไม่เสียของแต่อย่างใด แต่เราเชื่อว่าเจ้าของคงไม่เบื่อง่ายๆหรอกครับ เพราะชุดพาร์ทต่างๆที่ทางสำนักผลิตออกมานั้นถือว่ามีลูกเล่นให้ปรับแต่งได้หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นชุดเลนส์ครอบไฟหน้าที่มีให้เลือกทั้ง สีสโม้ค, สีไส, และสีเหลือง ในขณะที่ชิ้นส่วนเสริมอื่นๆของชุดคิท C-Racer นั้นก็ยังมีทั้ง เบาะหนังเดินตะเข็บทรงคลาสสิค, บังโคลน, การ์ดโช้ค,วินชิลด์ขนาดจิ๋ว, การ์ดครอบไฟหน้า, นัมเบอร์เพลทใต้เบาะนั่ง, ท้ายสั้น, แร็คติดกระเป๋าหลัง, การ์ดหม้อน้ำ, และการ์ดโซ่ สนนราคาชิ้นส่วนทั้งหมดรวมกันที่ 1,028 ยูโร หรือราวๆ 39,450 บาท อ่านข่าว Suzuki อื่นๆได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ Motorival
Author: admin
ในวันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปชมอีกหนึ่งการตกแต่งสปอร์ตไบค์คลาส 300cc ที่แม้ว่าดูภายนอกจะดูไม่ออกเลยว่ามันถูกทำอะไรมาบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าเครื่องยนต์ของเจ้า KTM RC390 คันนี้ได้รับการติดตั้งเทอร์โบชาร์จเข้าไปจนมีพละกำลังระดับน้องๆบิกค์ไบค์กลุ่ม 650cc เลยทีเดียว ใช่แล้วครับ เจ้า KTM RC390 ที่หน้าตาดูแสนจะธรรมดาๆคันนี้นั้นได้รับการติดตั้งเทอร์โบรหัส IHI RHB31 ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาดเล็กที่สุดในโลกเข้าไปแล้วปรับกราฟเครื่องยนต์กับระบบทางเดินอากาศขาเข้าใหม่ จนส่งผลให้มันมีพละกำลังสูงสุดที่ราวๆ 60 แรงม้า ซึ่งทางสำนัก Nicola Bragagnolo ได้ระบุนี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดจริงๆที่พวกเค้าสามารถทำได้ แต่สาเหตุที่มันต้องถูกจำกัดแรงม้าไว้แค่นี้ก็เพื่อให้มันสามารถใช้งานบนท้องถนนทั่วไปได้อย่างไม่เป็นอันตรายกับผู้ขับขี่นั่นเอง อย่างไรก็ตามสำหรับผลงานการติดตั้งระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ให้กับรถสปอร์ตเอนทรีไบค์พิกัด 300cc ครั้งนี้นั้น ไม่ได้ถือเป็นครั้งแรกของทางสำนักเพราะก่อนหน้านี้ไม่ถึงเดือน พวกเค้าก็ได้เคยเปิดตัว Yamaha YZF-R3 ที่ติดตั้งเทอร์โบรุ่นเดียวกันแบบนี้มาแล้ว ซึ่งพละกำลังสูงสุดของมันนั้นก็อยู่ที่ราวๆ 60 แรงม้าเช่นกันกับ RC390 คันนี้ ในขณะที่โปรเจ็กไบค์คันต่อไปของพวกเค้าก็คือ Kawasaki Ninja 300 ที่จะได้รับการติดตั้งระบบอัดอากาศนี้ด้วยเช่นกัน อ่านข่าว KTM เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ…
หลังจากที่เราได้เห็นเหล่าตัวแข่งจากเวทีการแข่งขัน MotoGP ได้รับการติดตั้ง วิงเล็ท ในปี 2016 ก่อนที่จะกลายมาเป็น แอโรพาร์ทแฟริ่ง ในปี 2017 ในที่สุดทางกรรมการการแข่งขัน WSBK ก็ได้อนุมัติให้เหล่าผู้ผลิตหรือทีมแข่งต่างๆสามารถติดตั้งชุดแอโรพาร์ทให้กับตัวแข่งของพวกเค้าได้ด้วยเช่นกันสำหรับการแข่งขันฤดูกาล 2018 อย่างไรก็ตามสำหรับรายละเอียดของกฏใหม่ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั้นยังไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนมากมายนักจากทางผู้จัด WSBK แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่านอกจากทางทีมแข่งจะสามารถติดตั้งชุด “แอโรพาร์ทแฟริ่ง” บนโปรดักชั่นเรซไบค์แบบเดียวกับของตัวแข่ง MotoGP ปี 2017 ได้แล้ว พวกเค้ายังสามารถติดตั้ง “วิงเล็ท” หรือปีกแท้ๆที่ยื่นออกมาจากแฟริ่งได้อีกด้วยเหมือนตัวแข่ง MotoGP ปี 2016ซึ่งเจ้าของสิ่งหลังนี้น่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับ Kawasaki มากที่สุดเพราะพวกเค้าไม่เคยออกแบบแอโร่พาร์ทแฟริ่งมาก่อนเลยเนื่องจากไม่ได้ทำการแข่งขัน MotoGP เหมือนค่ายอื่นๆทั้ง Ducati, Suzuki, Yamaha, Honda และ Aprilia (แต่ถ้าติดตั้งวิงเล็ทไม่ได้ งานนี้ค่ายแตนเขียวอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะแทบไม่มีข้อมูลเรื่องนี้เลยนอกจากการต่อยอดจากยักษเขียว H2R ของพวกเค้า) และวิบากกรรมของ Kawasaki ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากกฏอนุมัติการติดตั้งชุดแอโรพาร์ทดังกล่าวแล้ว ทางผู้จัด WSBK ยังออกกฏเพิ่ม/ลดรอบเครื่องยนต์สูงสุดหรือ…
ในขณะที่ทางฝั่ง Yamaha กำลังง่วนอยู่กับการนำพื้นฐานเฟรมของ 2016 YZR-M1 มาปรับปรุงเป็น 2018 YZR-M1 อยู่นั้น ในวันนี้เราจะขอภาพเพื่อนๆไปชมอีกตัวแข่งจากทางซุ้มสีแดงอย่าง Ducati Desmocedisi GP18 ที่ได้รับการอัพเกรดและอยู่ในระหว่างทดสอบช่วงก่อนเปิดฤดูกาลกันบ้าง โดยหากพูดถึงภาพรวมแล้ว เราจะเห็นได้ว่าชุดสีต่างๆของตัวแข่ง Ducati GP18 นั้นแทบไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกับตัว GP17 เลยแม้แต่น้อย แต่จากการสังเกตุของช่างภาพและสื่อตาดีแดนอิตาลีได้ระบุไว้ว่าตัวแข่งปีใหม่จากทีมซุ้มแดงนั้นมีจุดเปลี่ยนหลักๆอยู่ 4 ที่ด้วยกัน ซึ่งเราจะไล่เรียงให้เพื่อนๆฟังกันไปทีละส่วนครับ และจุดแรกที่เราจะพูดถึงก็คือช่วงท้ายของเฟรมที่ได้รับการปรับรอยเชื่อมใหม่ให้ดูแน่นหนามากขึ้น ซึ่งเราคาดว่ามันจะถูกออกแบบมาเพื่อให้เสริมความแข็งแรงสำหรับรองรับกับพละกำลังอันมหาศาลของเครื่องยนต์ L4 ของพวกเค้า และประโยช์อีกอย่างนึงก็คือตัวเฟรมจะสามารถส่งความรู้สึกจากสวิงอาร์มหลังมาสู่นักแข่งได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ในขณะที่จุดต่อมาคือบริเวณด้านหน้าของชุดเฟรมที่ในตัวแข่ง GP18 นั้นจะมีการติดตั้งชุดเพลทเสริมเข้าไปใกล้ๆกับบริเวณแกนคอ ซึ่งถูกติดตั้งเข้ามาเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับเฟรมอีกทีหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันพวกเค้าก็สามารถถอดมันออกเพื่อปรับค่าความแข็งอ่อนของเฟรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความรู้สึกของนักแข่งได้ ซึ่งเทคโลยีนี้ทาง Suzuki และ Aprilia ได้นำมาใช้กับตัวแข่งของพวกเค้าได้ระยะหนึ่งแล้ว ด้านถังน้ำมันเองก็ได้รับการปรับเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ให้ยื่นเข้าไปใกล้กับช่วงหน้าของตัวรถมากขึ้น และแน่นอนว่าตัวหม้อกรองอากาศเองก็ได้รับการปรับเปลี่ยนดีไซน์ไปด้วยตามๆกัน ซึ่งตรงจุดนี้เรายังไม่สามารถอธิบายได้ว่า Ducati ทำมันไปเพื่ออะไร นอกจากนี้ตำแหน่งเบาะนั่งก็ยังดูเหมือนว่ามันจะถูกขยับตำแหน่งให้สูงและเขยิบไปข้างหน้าตัวรถมากขึ้น ซึ่งนี่อาจจะเป็นการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการหักเลี้ยวไปพร้อมๆกับการย้ายจุดศูนย์ถ่วงตัวรถให้สามารถกดล้อหน้าไว้จากอาการหน้าเหินขณะเปิดคันเร่งอีกทางหนึ่ง ขอบคุณข้อมูลจาก Paddock-GP.com อ่านข่าว…
ในที่สุดทาง TVS ก็ได้เปิดตัวเจ้าฉลามน้อย 2018 TVS Apache RR 310 (BMW G310RR) ในแบบของโฉมขายจริงซักที กว่า 2 ปี ที่ทำได้แค่มีโฉมคอนเซปท์กับโฉมโปรโตไทป์ให้เห็นกันผ่านๆ อย่างที่เพื่อนๆหลายคนทราบกันดีว่าเจ้าสปอร์ต TVS Apache RR 310 คันนี้ถือกำเนิดโดยความร่วมมือระหว่าง TVS ที่จะได้รับหน้าที่เป็นฝ่ายผลิตในขณะที่ทาง BMW ก็ต้องรับผิดชอบในส่วนของการออกแบบและพัฒนา ส่งผลให้ทั้งเฟรมถัก, ระบบกันสะเทือนหัวกลับด้านหน้า และระบบกันสะเทือนโช้กเดี่ยวที่ด้านหลังจาก Kayaba, ชุดจานเบรกเดี่ยวขนาด 300 มิลลิเมตรกับเรเดียลเมาท์คาลิปเปอร์ 4 พอร์ท และจานเบรกหลัง 240 มิลลิเมตรกับคาลิปเปอร์เบรกสูบเดี่ยวพร้อมระบบ ABS Dual-Chanel (มีระบบกันล้อหลังยกมาให้ด้วย), ชุดล้ออัลลอย 5 ก้านรัดยาง Michelin Pilot Street Radial ขนาด 110/70-R17 ที่ด้านหน้ากับ 150/60-R17 ที่ด้านหลัง…
“ถ้า MotoGP ไม่มีผม มันก็คงเหมือน ฟุตบอลโลกไม่มีทีมชาติอิตาลี” นี่คือหนึ่งประโยคเด็ดที่อดีตแชมป์โลก 9 สมัยเอ่ยออกมาหลังจบการแข่งขันแรลลี่ครอส Monza Rally Show 2017 พร้อมกล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “บอกตรงๆว่านี่ไม่ใช่ฤดูกาลที่ดี แต่เรายังมีศักยภาพ โดยที่มาของการเอ่ยประโยคนี้ของ Rossi นั้นเป็นก็เพราะว่าเค้าถูกสื่อรายนึงถามถึงอนาคตว่าเค้าจะรีไทร์จากการแข่งขันในเร็วๆนี้หรือไม่ ซึ่งทาง VR46 ก็ได้ตอบไว้ว่าเค้าค่อนข้างจะกลัวและกังวลกับเรื่องนี้พอสมควร แต่ใช่ว่าถ้าเค้าผละจากการแข่งขัน MotoGP นี้ไปแล้ว เค้าจะหันหลังให้กับกีฬามอเตอร์สปอร์ตไปซะทีเดียว พร้อมกล่าวเพิ่มอีกว่า “หากผมถอนตัวจากการแข่งขัน MotoGP ไปแล้ว ผมจะยังใช้เวลาต่อจากนั้นอีก 10 ปีไปกับการแข่งขันรถยนต์ประเภทต่างๆโดยเฉพาะแรลลี่ และ Lemans Endurance 24Hrs หรือการแข่งขันประเภทเซอร์กิตก็ยังน่าสนใจ” ถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่เหล่าสาวกการแข่งขัน MotoGP โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนๆ “พ่อหมอ” กำลังให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับการถอนตัวจากเวทีที่สร้างชื่อให้กับขวัญใจวัยดึกรายนี้ ซึ่งเราเองก็คงต้องเดากันต่อไปว่าอนาคตนับจากนี้ทาง Rossi จะตัดสินใจอย่างไรต่อไป หลังจากที่เค้ายังเหลือสัญญาอีกหนึ่งปีกับทาง Movistar Yamaha Factory Team…
ภาพที่เพื่อนๆกำลังเห็นอยู่ตอนนี้คือภาพของว่าที่แอดเวนเจอร์-ทัวร์ริ่งไบค์รุ่นใหม่จาก Benelli ซึ่งจอดอยู่หน้าโชว์รูมแห่งหนึ่งทั้งที่ยังไม่มีการแถลงข่าวเปิดตัวใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเจ้ารถมอเตอร์ไซค์คันนี้จะทำตลาดในกลุ่มพิกัดไม่เกิน 300cc โดยใช้ชื่อในการทำตลาดว่า BJ300GS-A สำหรับประเทศจีน สำหรับพื้นฐานตัวรถของเจ้า BJ300GS-A คันนี้นั้น ทาง Benelli ได้ทำการหยิบเอาทั้งโครงถักและเครื่องยนต์สองสูบ 300cc 38 แรงม้าของแน็คเก็ทไบค์ BN302 มาติดตั้งกับชุดแฟริ่ง เบาะตอนเดียว กระเป๋าสามใบ ชุดระบบกันสะเทือนที่มีระยะยุบกว้างกว่าเดิมเพื่อให้รองรับกับการใช้งานในเชิงขับท่องเที่ยว โดยมีความเร็วสูงสุดที่คาดว่าจะอยู่ราวๆ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งดูจะสมเหตุสมผลรวมของเหลวอยู่ที่สูงถึง 216 กิโลกรัมด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ชื่อรุ่นของมันนั้นดูจะใกล้เคียงกับพี่ใหญ่ค่ายใบพัดสีฟ้าซะเหลือเกิน ทำให้เมื่อเจ้า BJ300GS-A ต้องออกไปทำตลาดในประเทศแถบยุโรปหรือเอเชียนอกเหนือจากประเทศจีน ทาง Benelli จะต้องเปลี่ยนแปลงชื่อมันซักหน่อย ซึ่งทางสื่อต้นทางได้ระบุไว้ว่าชื่อใหม่ของมันก็คือ TRK302 ซึ่งดูสอดคล้องกับโมเดลแนวเดียวกันอย่าง TRK502 และ TRK251 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า แม้ว่าหน้าตาของมันจะไม่เหมือนกับทั้งสองคันที่ว่ามาเลยโดยเฉพาะส่วนจงอยด้านหน้า ขอบคุณข้อมูลจาก Motorcycle-magazine.com อ่านข่าว Benelli เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ…
นับตั้งแต่เปิดตัวในโฉมคอนเซปท์ครั้งแรกเมื่อปี 2016 ในที่สุดก็ใกล้ได้เวลาเปิดตัวโฉมขายจริงกันซักทีกับ TVS Akula หรือชื่อขายจริงก็คือ “TVS Apache RR 310S” ซึ่งในวันนี้เราก็ได้ข้อมูลเกียวกับฟีเจอร์ต่างๆที่จะติดเจ้าฉลามน้อยนี้ออกมาจากโรงงานนอกเหนือจากสเปคเครื่องยนต์และเฟรมถักที่เป็นแบบเดียวกับของ BMW G310R และ BMW G310GS ให้เพื่อนๆได้ทราบกันครับ – สามารถเร่งจาก 0-60 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 2.63 วินาที – ได้รับการติดตั้งชุดระบบกันสะเทือนหน้าหลังจาก Kayaba – มีโหมดการแสดงผลบนหน้าจอให้ปรับถึง 15 โหมด – เซ็ทจับเวลาต่อรอบได้ – มีระบบจับเวลาการทำความเร็วตั้งแต่ 0-ความเร็วสูงสุด พร้อมระบบแจ้งเตือนการทำความเร็วสูงสุด – ระยะทางจริง และระยะทริป – ระยะทางที่สามารถขับขี่ต่อไปได้เมื่อเทียบจากน้ำมันคงเหลือ – วัดอุณหภูมิสภาพอากาศภายนอก – ซิฟท์ไลท์ – ระบบแจ้งเตือนขาตั้ง (กรณีสตาร์ทรถแล้วลืมเอาขาตั้งข้างขึ้น) – ไฟผ่าหมาก…
อย่างที่ใครหลายคนทราบกันดีว่า Valentino Rossi นั้นเป็นคนที่หลงไหลในกีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ตอย่างมาก เพราะนอกจากการอยู่เป็นตำนานที่ยังทำการแข่งขันในเวที MotoGP แล้ว เค้ายังลงแข่งขันแรลลีครอส Monza Rally Show 2017 ที่พึ่งจบไปเมื่่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้อีกด้วย และผลหรือบทสรุปการแข่งขันดังกล่าวก็คือ Rossi สามารถคว้าแชมป์ได้แบบเกือบขาดลอยด้วยการทำเวลาต่ำกว่าอันดับสองอยู่ 5.7 วินาที แต่ตัวเลขเวลา 1 ชั่วโมง 24 นาที 55.9 วินาที เวลาที่เห็นอยู่ในตารางตอนนี้นั้นคือตัวเลขที่บวกเพิ่มอีก 10 วินาทีจากเวลาจริงๆที่ VR46 คนนี้สามารถกดได้ โดยสาเหตุของการถูกปรับเวลาครั้งนี้นั้นเป็นเพราะว่า “ความผิดพลาดโง่ๆ” (Rossi ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษว่า “Stupid mistake”) จากการที่พวกเค้าถอดชุดไฟหน้าติดรถออกแล้วลืมช่างน้ำหนักรถก่อนแข่งขัน และผลปรากฏว่าน้ำหนักรวมของตัวแข่ง 2016 Ford Fiesta WRC ของเค้านั้นมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ไปถึง 6 กิโลกรัมด้วยกัน อ่านข่าวสาร MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers…
จากกระแสที่ในปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกเริ่มบีบผู้ผลิตยานยนต์ต่างๆให้ยกเลิกการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นขุมกำลังหลักของยานพาหนะ ทำให้พวกเค้าเหล่านั้นต้องเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ากันยกใหญ่ อย่างเช่นที่ BMW กำลังทำอยู่ในตอนนี้ โดยข้อมูลที่ทาง BMW ได้ปล่อยออกมาล่าสุดนั้นได้ระบุไว้ว่า ในตอนนี้พวกเค้าต้องใช้เม็ดเงินกว่า 200 ล้านยูโร หรือราวๆ 7,730 ล้านบาทสำหรับเปิดศูนย์วิจัยแบตเตอร์รี่แห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองมิวนิคประเทศเยอรมัน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาเซลแบตเตอร์รี่ให้กับยานพาหนะไฟฟ้าที่พวกเค้าวางแผนจะทำตลาดในอนาคต อย่างไรก็ตามทางผู้บริหาร BMW ก็ได้ระบุไว้ว่าในตอนนี้พวกเค้าได้เริ่มทำการวิจัยระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะมาจนถึงรุ่นที่ 5 แล้ว โดยจุดเด่นของระบบขับเคลื่อนดังกล่าวนั้นก็คือการที่มันสามารถผสมผสานชิ้นส่วนต่างๆอันได้แก่ แบตเตอร์รี่, มอเตอร์ไฟฟ้า, ระบบส่งกำลัง, และชุดควบคุม ไว้เป็ฯอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเราจะได้เห็นมันถูกติดตั้งในรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในอนาคตอย่างน้อยก็ตอนปี 2021 ขอบคุณที่มา BMW อ่านข่าว BMW เพิ่มเติมได้ที่นี่ อ่านข่าว มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ Motorival