Tips Trick: โซ่ O-Ring, X-Ring, Z-Ring, ฯลฯ ต่างกันยังไง ?

แม้ว่าก่อนหน้านี้ เราจะได้เคยพาเพื่อนๆไปรู้ถึง ข้อแตกต่างระหว่างโซ่ธรรมดา กับโซ่โอริง กันไปแล้ว แต่อันที่จริง โซ่ของรถมอเตอร์ไซค์ที่มียางวงแหวนแบบอื่นๆอีกที่เราอาจไม่ค่อยได้เห็นกันเท่าไหร่นักอย่างเช่น X-Ring หรือ Z-Ring ซึ่งแล้วมันต่างกันอย่างไร ? หรือมีข้อดีที่โดดเด่นกว่าโซ่แบบ O-Ring อย่างไรบ้าง เรามาดูกันเลยครับ

ก่อนอื่น ย้อนไปที่ตัวโซ่ O-Ring เพื่อนๆหลายคนคงพอทราบกันบ้างแล้วว่า ตัวยางวงแหวนที่ถูกใส่เข้ามาแทรกกลางระหว่างข้อต่อโซ่ตัวนอกกับตัวในนั้น มีจุด ประสงค์ก็คือเอาไว้กักเก็บน้ำมันหรือจารบีหล่อลื่นให้อยู่กับโซ่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อยืดอายุการใช้งานของโซ่ให้ยาวนานกว่าเดิม แถมยังช่วยลดเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นขณะใช้งานด้วย

และแน่นอนว่าสำหรับโซ่ X-Ring กับ Z-Ring นั้น ในเบื้องต้นก็ถูกออกแบบมาด้วยจุดประสงค์การใช้งานเดียวกันกับโซ่ O-Ring เพียงแต่ด้วยรูปทรงของพื้นที่หน้าตัดตัวยางวงแหวนที่ต่างออกไป (เช่นแบบ X-Ring ที่หากตัดยางออกมาแล้วจะเห็นพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปตัว X เป็นต้น) จึงทำให้มันสามารถเก็บสารหล่อลื่นให้อยู่กับโซ่ได้มากขึ้น นานขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเพราะพื้นที่สัมผัสระหว่างตัวยางวงแหวนกับข้อต่อโซ่ตัวนอกและตัวในลดลง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเทียบกับโซ่ O-Ring เดิมๆแล้วมันก็จะกินแรงเครื่องยนต์น้อยกว่าด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น หากว่ากันตามจริง ในปัจจุบัน โซ่รถมอเตอร์ไซค์ที่มาพร้อมกับยางวงแหวนสำหรับกักเก็บสารหล่อลื่น ก็ไม่ได้มีแค่เพียง O-Ring, X-Ring, หรือ Z-Ring เท่านั้น แต่ยังมีทั้ง RX-Ring, XW-Ring, UW-Ring และอื่นๆอีกมากมายสุดแล้วแต่ที่ผู้ผลิตโซ่รถมอเตอร์ไซค์จะนึกไอเดียออกอีกด้วย ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีหน้าตาที่ต่างกันออกไป ทว่าทุกแบบก็ล้วนมีจุดประสงค์คือทำขึ้นมาเพื่อช่วยกักเก็บสารหล่อลื่นไว้กับโซ๋ทั้งสิ้น แต่แบบไหนจะเก็บสารหล่อลื่นได้ดีกว่า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า และสร้างภาระให้กับตัวโซ่เอง หรือตัวเครื่องยนต์เอง ก็ต้องมาเทียบตารางกันอีกทีดังภาพที่เราแนบไว้ด้านบน

ส่วนข้อเสียของโซ่แบบมียางวงแหวนแต่ละแบบก็แน่นอนว่า ยิ่งหน้าตาของยางวงแหวนมีความซับซ้อนมากเท่าไหร่ ต้นทุนในการผลิตก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ราคาวางจำหน่ายก็จะยิ่งสูงตามขึ้นไปเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายผลที่ได้จะคุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าที่เสียไปหรือไม่ ? ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของเพื่อนๆแล้วล่ะครับ