เปิดสเปค Kawasaki Z H2 เนคเก็ทเรือธงรุ่นใหม่ หัวใจ Ninja H2 จากตระกูล "แรดเอเลี่ยน" [TMS2019]

ในบูธ Kawasaki ที่งาน Tokyo Motor Show 2019 [TMS2019] นอกจากดาวเด่นที่ใครๆหลายคนต่างพูดถึงอย่าง All-New Kawasaki ZX-25R แล้ว ยังมีเจ้า All-New Kawasaki Z H2 ที่ใครๆหลายคนน่าจะฮือฮาพอสมควรเพราะมันเป็นเนคเก็ทไบค์ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงพ่วงซุปเปอร์ชาร์จเจอร์คันแรกในยุคนี้ ซึ่งหลังจากที่วันก่อนเรได้นำเสนอภาพตัวรถจริงๆจากงานดังกล่าวไปแล้ว มาวันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเจาะลึกกันอีกนิดกับสิ่งที่ติดตัวเจ้านี่ตั้งแต่ออกโรงงานมากันบ้างครับ

สำหรับดีไซน์ภายนอกของเจ้า Z H2 คันนี้นั้น ถือได้ว่าเป็นดีไซน์ที่พลิกโฉมใหม่ทั้งหมดเมื่อเทียบกับ Z1000 ไล่ตั้งแต่ชุดไฟหน้าที่ยกมาจากรุ่นน้อง Z400 แต่ติดตั้งไว้กับชิ้นแฟริ่งแบบยึดติดตายตัวกับช่วงข้างลำตัวรถ ไม่ได้เป็นแบบโคมไฟยึดติดแผงคอแล้วสามารถพลิกหันไปมาได้ขณะเลี้ยว ซึ่งเหตุผลก็เพื่อติดตั้งท่อแรมแอร์ขนาดใหญ่ที่ขนาบอยู่ด้านข้าง แต่ก็แลกมาซึ่งความอวบอั๋นกว่าเนคเก็ทไบค์ทั่วๆไปพอสมควร

ด้านถังน้ำมันขนาด 19 ลิตรก็มีความโหนกนูนขึ้นชัดเจนฉบับ Kawasaki

ขณะที่ชุดท้ายที่ออกแบบให้ดูเชิดขึ้นคล้ายน้องรอง และยังใช้ไฟท้ายที่ยกมาจากน้องๆ Z900 เช่นกัน

และด้วยความที่ Z H2 ก็คืออีกร่างหนึ่งของ Ninja H2 และ H2 SX ดังนั้นชุดเฟรมของมัน จึงยังคงเป็นเฟรมถัก แต่เป็นเฟรมที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับกับรูปทรงตัวรถโดยเฉพาะ และสามารถรับน้ำหนักผู้ซ้อนได้อีกด้วย

ส่วนระบบกันสะเทือนที่ติดรถมา จะเป็นแบบตะเกียบคู่หัวกลับด้านหน้า Showa SFF-BP ทำงานแยกส่วนกันระหว่างฝั่งยืดกับฝั่งยุบ ส่วนด้านหลังก็จะเป็นโมโนช็อค จาก Showa และสามารถปรับเซ็ทได้ทุกค่าเช่นกัน ทว่ามันจะมีจุดแปลกกว่าพี่น้องตระกุล H2 ตรงที่ มันได้รับการติดตั้งสวิงอาร์มอลูมิเนียมแขนคู่ ไม่ใช่สวิงอาร์มแขนเดี่ยว

ระบบเบรกติดรถที่ให้มาจะเป็นแบบดิสก์คู่หน้าขนาด 290 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มเบรกเรเดียลเมาท์โมโนบล็อค Brembo M4.32 และแบบดิสก์เดี่ยวขนาด 250 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ 2 พอร์ท พร้อมติดตั้งระบบเบรก Cornering-ABS มาให้เรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ในการหยุดชะลอตัวรถที่หนักถึง 239 กิโลกรัมขณะเข้าโค้ง

ชุดล้ออลูมิเนียมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 นิ้ว รัดด้วยยางไซส์ 120/70ZR17M/C (58W) และ 190/55ZR17M/C (75W) ตามลำดับหน้า/หลัง

ฝั่งระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้มาก็จะประกอบไปด้วยชุดเซนเซอร์ IMU ที่เอาไว้เก็บค่าเพื่อใช้ประมวลผลในฟีงก์ชันระบบ Traction Control, Riding Modes, Cruise Control, และ Corner Management เสริมด้วยระบบ Quick Shifter กับ Slipper Clutch ที่ให้มาเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน

ปิดท้ายด้วยไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดอย่าง เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงพิกัด 998cc ที่ได้รับการติดตั้งอาวุธสำคัญอย่างระบบอัดอากาศซุปเปอร์ชาร์จเจอร์เข้าไป ซึ่งแม้กำลังสูงสุดของมันจะไม่ได้เคลมไว้หวือหวาเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับรถมอเตอร์ไซค์คันอื่นๆในพิกัดเดียวกันคือ 200 แรงม้า (PS) ที่ 11,000 รอบ/นาที ทว่าแรงบิดสูงสุดของมันนั้นกลับเคลมไว้ค่อนข้างสูงคือ 137 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 8,500 รอบ/นาทีเท่านั้น