จากการเปิดตัว Kawasaki KLR650 เป็นครั้งแรกในไทย เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยราคาเริ่มต้น 268,500 บาท ทำให้หลายคนที่อาจจะไม่เคยสนใจตัวรถรุ่นนี้มาก่อน หรือไม่เคยสนใจรถมอเตอร์ไซค์แนวนี้เลยตั้งคำถามว่ามันเป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อกับเจ้าแอดเวนเจอร์ไบค์พันธ์แท้น้องใหม่คันนี้หรือไม่ ? เราจึงขอพาเพื่อนๆเหล่านั้นมาดูกันสักหน่อยดีกว่าครับว่าเจ้านี่มีอะไรดีๆซ่อนอยู่บ้าง ?
โดยอย่างที่เราได้เกริ่นไว้ในข้างต้นว่า KLR650 รุ่นล่าสุดนั้น ในความจริงแล้วมันคือรถมอเตอร์ไซค์แนวแอดเวนเจอร์ไบค์พันธ์แท้ที่มาพร้อมกับคอนเซปท์การออกแบบที่เน้นรองรับการใช้งานแบบถึกทนเป็นพิเศษ ดังนั้นสิ่งต่างๆที่ให้มากับรถรุ่นนี้จึงล้วนแล้วแต่มีความ “ธรรมดาเป็นพิเศษ” แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดโคมไฟหน้า LED ที่ยกมาจาก Z400, ไฟท้ายกับไฟเลี้ยวยังคงเป็นหลอดไส้, ไฟเลี้ยวก็เป็นหลอดไส้, ไฟท้ายเองก็เป็นหลอดไส้เช่นกัน
แม้แต่ชุดระบบกันสะเทือนยังเป็นโช้กหน้าตะเกียบคู่หัวตั้งขนาดแกน 41 มิลลิเมตร พร้อมยางครอบแกนโช้ก และโช้กหลังแก๊สต้นเดี่ยวแบบมีซับแทงค์แยกที่สามารถปรับเซ็ทค่ารีบาวน์กับพรีโหลดได้ ทำงานร่วมกับชุดกระเดื่องทดแรงและสวิงอาร์มเหล็กกล่องแขนคู่ไม่ใช่สวิงอาร์มอลูมิเนียมแต่อย่างใด ชุดล้อก็เป็นแบบซี่ลวดธรรมดารัดด้วยยางกึ่งหนาม ขนาด 90/90-21 และ 130/80-17 ตามลำดับหน้า-หลัง
ส่วนชุดเบรกด้านหน้าก็เป็นแบบจานเดี่ยว 300 มิลลิเมตร ทำงานร่วมโฟลทติ้งเมาท์คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ / ด้านหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตร ทำงานร่วมโฟลทติ้งเมาท์คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ และมีระบบ ABS เท่าที่จำเป็น ไม่มีระบบ TC มาเสริมความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น ไม่เพียงเท่านั้นเครื่องยนต์ของมันยังเป็นบล็อกสูบเดียว 652cc DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดใช้ระบบจุดระเบิดแบบ CDI พร้อมทำแรงบิดสูงสุด 53 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์เป็นแบบ 5 สปีด และคลัทช์มือที่ไม่มีกลไกสลิปเปอร์คลัทช์มาช่วยทำงานแต่อย่างใด
แต่ถ้าหากเพื่อนๆสังเกตกันให้ดี ด้วยการให้ออพชันต่างๆที่ค่อนข้างเรียบง่าย จึงทำให้เมื่อเราต้องนำเอาเจ้า KLR650 ไปใช้งานแบบเชิงบุกตะลุยจริงๆขึ้นมา มันก็จะลดความจุกจิกในการดูแลรักษาไปได้มาก เพราะเราไม่ต้องมาพะวงว่าระบบนู่นนี่นั่นจะเสีย (เนื่องจากแทบไม่มีมาให้แต่แรก) แถมส่วนควบต่างๆยังถูกติดตั้งมาเพื่อให้ง่ายต่อการซ่อมแซม และหากเกิดเหตุไม่คาดฝันกับรถขึ้นมาชิ้นส่วนแต่ละอย่างก็มีโอกาสเสียหายได้น้อย เช่นไฟเลี้ยวกับไฟเบรกหลอดไส้ที่หากขาดก็สามารถหาหลอดไฟดวงใหม่มาเปลี่ยนได้ตามร้านซ่อมรถทั่วๆไป รวมถึงโช้กหน้าแบบตะเกียบคู่หัวตั้งเองก็มีโอกาสที่น้ำมันจะซึมออกจากระบบจนหมดหากซีลเกิดเสียหายน้อยกว่าโช้กตะเกียบคู่หัวกลับเยอะ (เพราะกระบอกโช้กอยู่ด้านล่าง) แม้แต่เครื่องยนต์ที่เป็นสูบเดียวเองก็ยังสามารถดูแลบำรุงรักษาได้ง่ายที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์หลายลูกสูบเช่นกัน
ดังนั้น กับราคา เริ่มต้น 268,500 บาท แล้วหากเพื่อนๆกำลังมองหารถมอเตอร์ไซค์ที่สามารถใช้งานเชิงทัวร์ริ่งพร้อมบุกตะลุยได้อย่างสบายใจไม่ต้องกลัวมีปัญหาจุกจิก Kawasaki KLR650 จึงเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ตอบโจทย์ตรงนี้อย่างมากที่สุดแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจุดเด่นในด้านความถึกทนที่คงไม่มีใครในคลาสเดียวกันสู้มันได้
อ่านข่าวสาร Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่
