รีวิว 2019 Yamaha MT-15 ขี่ Day-Night Ride ออกทริป กว่า 300 กม. กทม.-พัทยา

เมื่่วงปลายเดือนที่ผ่านมาทาง Yamaha Motors ประเทศไทย ได้จัดทริปทดสอบ Yamaha MT-15 Press Touring Trip กับสโลแกน Born Of Darkness ซึ่งสอดคล้องกับ Concept หลักของ รถ Yamaha ตระกูล MT ที่มีสมญา ว่า Dark Side of Japan ซึ่งจะมีการขี่ทดสอบในแบบ Day-Night Ride ออปทริป กทม.-พัทยา ระยะทางกว่า 300 กม. รวมถึงการขับขี่ในตอนกลางวันด้วย

ก่อนเข้าไปที่ตัวรถ เราขอพูดถึง การเดินทางในทริปครั้งนี้ ซึ่งเป็นรูปแบบ Touring Trip กันเสียหน่อย

เราเริ่มเดินทางตั้งขบวน ออกจากจุดนัดพบ คือ ATT U Park บางนา
มุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร มุมอร่อย ศรีราชา

ก่อนที่จะไปเก็บภาพกันต่อที่ เกาะลอย
และเข้าที่พักคืนแรก ที่ Loft Sriracha

เช้าวันถัดมา เราเดินทางไปยัง ศาลเจ้า ศาลเจ้า หน่าจาซาไท่จื้

ก่อนที่จะเดินทางไปยังร้านอาหร The Sky Gallery ที่พัทยา
พร้อมพูดคุยสัมภาษณ์ ผู้บริหาร ที่ร่วมชบวนทริป กับเราด้วย คุณวราธร เจนจรัสกุล

หลังจากนั้นก็ เดินทางไปที่พัก D Living Hotel Pattaya

ก่อนที่จะออกมา ทำกิจกรรมสุดมัน กับการเล่นปาร์ตี้ ยิงปืนเลเซอร์

หลังจากนั้น ก็มุ่งหน้าไปเยี่ยมชม ตัวแทนจำหน่าย Yamaha Square มิตรยนต์ พัทยา

พร้อม Meeting ร่วมรับประทานอาหาร กับลูกค้า MT-15 และ ขี่ Night Ride ไปถ่ายภาพร่วมกันอีกต่างหาก

ว่าแต่เจ้า Naked Bike จากค่ายส้อมเสียง คันนี้ ขี่ออกทริป แล้ว จะเป็นเช่นไร มาดู รีวิว Yamaha MT-15 คันนี้ กันเลยดีกว่าครับ รถคันนี้

เริ่มจากการตกแต่งหน้าตาภายนอกที่ต่างออกไปจากตอนยังเป็น M-Slaz แบบไม่เหลือเค้าเดิม เพราะมีการออกแบบใหม่ทั้งหมดให้เหมือนกับเหล่าพี่ๆตระกูล MT มากขึ้น

ทั้งชุดโคมไฟหน้า LED ที่ปรับใหม่โดยใช้ชื่อดีไซน์ว่า “Kumadori” ให้ใกล้เคียงกับพี่รอง MT-09 โดยเฉพาะเอกลักษณ์เด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือแถบ LED ทรงคีนอายด้านบน และมีโคมไฟ LED-Projector หลักด้านล่าง ส่วนไฟเลี้ยวยังเป็นแบบหลอดไส้ดีไซน์เดิมหน้า/หลัง

กาบข้างทำทรงเหมือนท่อ RAM-Air ให้อารมณ์แบบพี่รอง MT-09 , พี่กลาง MT-07

ถังน้ำมันขนาดความจุ 10 ลิตร เป็นถังเหล็กมีพลาสติกที่ทำทรงให้เห็นลายเส้นมัดกล้ามรับกับกาบข้างชัดเจนครอบตัวถังไว้อยู่

อกไก่ชุดใหม่ดูกลมกลืนรับกับช่วงแครงก์ล่างตัวรถมากกว่าเดิม

ชุดมาตรวัดเปลี่ยนรูปแบบหน้าตาใหม่ยกมาจากแฝดคนละฝา YZF-R15 แสดงผลครบครันทั้ง วัดรอบ, ความเร็ว, ระยะทาง, ระยะทางทริป, ระดับน้ำมัน, ระดับเกียร์, และมีไฟชิฟไลท์ที่สามารถเซ็ทได้ว่าจะให้กระพริบที่รอบเท่าไหร่อีกด้วย

เบาะนั่งตอนยาวตอนเดียวที่ออกแบบขึ้นใหม่ให้เหมือนกับ MT-09 ให้สัมผัสไม่แข็งไม่นุ่มจนเกินไป แถมถ้าเทียบกับ M-Slaz แล้ว เบาะนั่งแบบนี้ให้ความรู้สึกที่สบายขึ้นเป็นอย่างมาก และที่สำคัญคือมันดูเป็นมิตรกับผู้ซ้อนมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว

ชุดแฟริ่งกลางมีทำลูกเล่นให้เห็นสัดส่วนตัวรถชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ครอบซับเฟรมก็ทำทรงเป็นช่องรีดอากาศเหมือนที่มีอยู่ในรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลสปอร์ตไบค์ของตน นั่นก็คือ Yamaha R-Series

และสุดท้ายคือชุดไฟท้าย LED ทรงเดิมกับ M-Slaz แต่เปลี่ยนเป็นสีสโม้ค

มิติตัวรถ
ความยาว 1,965 มม.
ความกว้าง 800 มม.
ความสูง 1,065 มม.
ความสูงเบาะ 810 มม.
ระยะฐานล้อ 1,335 มิลลิเมตร
นน. 133 กก.
ถังน้ำมันจุ 10 ลิตร

ท่านั่ง
ต้องบอกว่า MT-15 เป็นซุปเปอร์โมโตน้อยลง มีความเป็น Naked Bike มากขึ้น เมื่ิิอเทียบกับ M-Slaz กล่าวคือ พักเท้ามีการขยับมาด้านหน้ามากขึ้น ส่วนตัวเบาะนั่งก็ออกแบบใหม่ให้สามารถถอยไปด้านหลังได้มากกว่าเดิม (ยาวและกว้างขึ้น) ขณะที่แฮนด์บาร์ก็มีการงุ้มเข้ามาหาตัวผู้ขี่มากกว่า จึงทำให้เราสามารถหักแฮนด์บาร์ไปมาเพื่อควบคุมตัวรถได้อย่างถนัดมือ
แม้ว่าการขี่ในเมืองรถติดๆ โดยรวม MT-15 ยังถือว่า คล่องตัวซอกแซกได้ง่าย

นอกจากนี้ด้วยความที่ตัวถังน้ำมันเองยังมีความโค้งมนรับกับช่วงหว่างขา ส่งผลให้เราสามารถใช้ขาหนีบ หรือโหนถังในจังหวะที่ต้องเลี้ยวเข้าโค้งได้กระชับดี

อย่างไรก็ดีการขี่ทดสอบยาวๆ ออกทริปของเราก็ไม่ถือว่าเมื่อยมากเกินไป

มีจุดหนึ่งที่รู้สึก คือ ตำแหน่งก้านเบรก ก้านคลัทช์ ดูจะไกลนิ้วไปเสียนิด ซึ่งถ้าใครนิ้วสั้นอาจจะรู้สึกว่า อาจจะกำเบรกลำบากไปเสียนิด แต่ก็ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้ After Market สามารถเปลี่ยนกันได้ในราคาไม่แพง

แต่ด้วยความที่ ตำแหน่งเบาะนั้นถือว่าสูงประมาณหนึ่งเลยทีเดียว ที่ระดับ 810 มม. มันดูสูงกว่า YZF-R3 และ MT-03 ถึง 30 มม. เลยทีเดียว จึงทำให้ผู้ขี่ที่สูงน้อยกว่า 170 ซม. อาจจะต้องแขย่งเท้ากันพอสมควร

เครื่องยนต์ 155cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมเสริมระบบวาล์วแปรผัน VVA จาก 2017 YZF-R15 ให้กำลัง 19 แรงม้า @10,000rpm แรงบิด 14.7 Nm @8,500rpm ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ 6 Speed ที่มาพร้อม Assist & Slipper Clutch แบบเดียวกับ YZF-R15

โดยหากพูดถึงความรู้สึกที่ได้จากการลองกระแทกคันเร่งเจ้า MT-15 คันนี้ในจังหวะต่างๆทั้งตอนออกตัวจากความเร็วหยุดนิ่ง หรือตอนออกจากโค้ง ตัวเครื่องยนต์ก็สามารถตอบสนองต่อคันเร่งได้กระฉับกระเฉงดีขึ้นกว่า M-Slaz อย่างเห็นได้ชัด และถ้าหากลากรอบเครื่องยนต์ต่อไปเรื่อยๆในช่วงทางตรง ก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงดึงที่เครื่องยนต์ลูกนี้สามารถปั่นได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะที่ระบบวาล์วแปรผัน VVA ก็เริ่มทำงานที่ 7,400rpm ความไหลลื่นของกำลังก็จะยิ่งต่อเนื่องขึ้นไปอีกจนถึงช่วง Redline เลยทีเดียว (แต่เอาจริงๆถ้าเทียบกับ M-Slaz ของเดิมผู้เขียนมองว่ารอบมันหมดเร็วไปนิด อาจจะเพราะความที่รอบมันขึ้นไวกว่าเดิม)

ด้าน Top Speed ผู้ทดสอบ มีโอกาสกดในช่วงทางตรงยาวๆ ได้ที่ระดับ 140 กม./ชม. ซึ่งก็ถือว่า ทำได้ดีในระดับที่ Naked 150 ควรจะเป็น แต่จุดที่ต้องระวังในการขี่ความเร็วสูง คือ หน้าเบา ดังนั้น การคอนโทรลรถควรต้องจับแฮนด์ให้มั่น เก็บคอ ศอกหนีบถังด้วยที่ความเร็วสูง

ด้านอัตราสิ้นเปลืองนั้น จากการวิ่งแบบ ซัดแทบจะตลอด กับทริปสื่อมวลชน นี้เราได้ตัวเลข 35.3 กม./ลิตร ซึ่งก็ถือว่า ok ในระดับหนึ่ง ตามสภาพกับการขับขี่ที่เรียกว่าซัดหมดปลอก แทบจะตลอด
ถ้าวิ่งแบบชิลๆ ออกทริป เรื่อยๆ เดินคันเร่งๆ เนียนๆ ใช้ความเร็วไม่สุง ไม่เล่นรอบจน VVA เปิดนัก น่าจะมีเห็นทำตัวเลขได้แตะๆ 40 กม./ชม.

ขณะที่ระบบสลิปเปอร์คลัชท์ คือ อีกจุดที่สามารถช่วยแก้อาการล้อหลังล็อกจากการการลดเกียร์ลงหนักๆได้ดี นอกจากมันจะแก้อาการล้อสับที่ล้อหลังได้แทบจะหมดจดแล้ว (มีให้รู้สึกแค่เฉพาะเกียร์ต่ำ 1-2) แต่ความนุ่มที่สัมผัสได้ตอนที่ต้อง ใช้คลัทช์ บ่อยในช่วงการจราจรติดขัดก็ถือว่าสบายนิ้วมากทีเดียว

ในส่วนของระบบกันสะเทือน เหมือนเดิมกับ M-Slaz ทั้งหน้า-หลัง นั้นก็คือ โช้กหน้า UpSideDown ปลอกสีทอง มีขนาดแกน 37 มม. ทำงานร่วมกับชุดล้ออลูมิเนียมอัลลอยขอบ 17 นิ้วรัดด้วยยางไซส์ 110/70-17

ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหลัง Monoshock วางบนสวิงอาร์มอลูมีเนียม ทำงานร่วมกับชุดล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์ ขอบ 17 นิ้วรัดด้วยยางไซส์ 140/70-17 ใหญ่ขึ้นมาจาก M-Slaz หนึ่งเบอร์

จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ทำให้การเข้าโค้งเทโค้งนั้นสามารถทำได้อย่างกระชับและแน่นหนึบไปกับผิวถนนมากขึ้น แม้แต่องศาในการเอียงก็ทำได้ดีมากกว่าเดิมอีกหน่อยเนื่องจากตัวรถกับพักเท้าดูจะสูงขึ้นเล็กน้อย

ส่วนการควบคุมรถในทางซอกแซก ที่แคบ ส่วนตัวแล้ว ผู้ทดสอบมองว่า ดูจะมีความคล่องตัวดีกว่า M-Slaz อีกเล็กน้อย และโช้กหน้าซับแรงดีเหมือนเดิม ทาง Yamaha เคลมไว้ว่า องศามุมแคสเตอร์ลดลงเล็กน้อย เหลือ 25.7 จากเดิม 26 ช่วยให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และส่วนนึงก็เป็นเพราะน้ำหนักตัวที่หายไปอีก 2 กิโลกรัมจนเหลือแค่ 133 กิโลกรัมด้วย

ในด้านของระบบเบรก หลายคนคงบอกว่า เสียดายที่ Yamaha ไม่ได้ติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อค ABS มาให้
แต่จากที่ได้พูดคุยกับทางผู้บริหาร ได้เปิดเผยกับเราว่า การที่ MT-15 ไม่มี ABS เหมือนคู่แข่ง เป็นเพราะ เลือกที่จะไปเพิ่มเติมในส่วนของ Slipper Clutch ที่ได้ใช้งาน ตลอดเวลาที่ขี่ และกำคลัทช์ แต่ ABS จะใช้กรณี ฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น
อีกทั้ง พละกำลังรถในพิกัดนี้ อาจจะไม่จำเป็นนักกับระบบ ABS

ซึ่งทางผู้ทดสอบเอง ต้องเรียนตามตรงว่า ชอบฟีลลิ่งไม่มี ABS มากกว่า เพราะมันเบรกได้อย่างมั่นคงขึ้น ระยะเบรกสั้น เรียกได้ว่าเอาอยู่กับพละกำลังที่มี
(แต่ถ้า รุ่นใหญ่ อย่างพิกัด Middle Weight ขึ้นไป ก็รู้สึกว่ามี ABS จะช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้มากกว่า)

นอกจากนี้ MT-15 ยังได้อานิสงค์ เพิ่มเติมจากการแก้ไขในเรื่องจุดศูนย์ถ่วงตัวรถ และปรับเช็ตมุมเรค/ระยะเทรลใหม่ จึงส่งผลต่อประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในการเบรก โดยทางอ้อมด้วย

สรุป รีวิว Yamaha MT-15 ในการขี่แบบ Night Ride ครั้งนี้ ยิ่งทำให้ มันตอบโจทย์ ภาพความ Born of darkness ที่ชีวิตไม่ได้มีเพียงแค่ ทำงานในตอนกลางวัน
รูปลักษณ์ที่ดีไซน์ออกมา ตามกระแส MT รุ่นพี่ Dark Side Of Japan (Thailand)
มันยังถือเป็นรถ Naked Bike ในกลุ่ม 150cc ที่ ขี่สนุกที่สุด ทั้งจากความแรงจากเครื่อง VVA จิตวิญญาณ YZF-R15 และสมรรถนะการคอนโทรลรถที่ทำได้ยอดเยี่ยม และมอบความคล่องตัวมากทีเดียว