รีวิว 2022 Honda Lead125 หน้าเดิม แต่เพิ่มเติมคือ All New?

รีวิว 2022 Honda Lead125 รถ AT กึ่ง Family Bike ที่ใช้งานได้เหมาะสมกับทุกเพศ ทุกวัย และทุกคน

รีวิว 2022 Honda Lead125 หลังจากที่ โมเดล Lead125 เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อประมาณเพียง 1 ปีเท่านั้น ทาง Thai Honda ก็ได้เปิดตัวโฉมใหม่ ที่เรียกว่า All New ออกมาแล้ว ซึ่งสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากหน้าตารูปลักษณ์มันเหมือนเดิม แต่มีการยกเครื่องใหม่ เป็น รหัส eSP+ และเพิ่มฟีเจอร์เข้าไป และเพื่อไม่ให้เสียเวลามารับชมกันเลยดีกว่าครับ All New Lead125 จะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

สำหรับรูปลักษณ์ Lead125 2022 ยังคงใบหน้าคล้าย เดิม คือ ทิศทางจะเป็นแนวมาตรฐานสำหรับรถ Scooter ฝั่งยุโรป
ที่แอบดูคล้ายรถ Moped Family Bike ไม่ได้เน้นทิศทางแบบ Sport AT

ชุดไฟหน้า เป็น LED ทรงมงกุฎ โดยมีแถบ LED อยู่ที่ชุดบังลมหน้า 2 ฝั่ง เป็น V Shape แต่ไฟเลี้ยวยังเป็นหลอดไส้

ชุดไฟท้าย LED รูปทรงไฟเบรกเป็นตัว X ดูคล้าย ADV150 โดยไฟเลี้ยวหลอดไส้เป็นรูปทรงบูมเบอแรงขนาบข้าง
โดยทางด้านท้าย ตัวมือจับหลังจะแร็คในตัวสะดวกต่อการรัดสัมภาระ

มาตรวัดแบบอนาล็อกผสมดิจิตอล แสดงผลเกจ์น้ำมัน เซ็ททริป

ชุดกุญแจปรับใหม่ นี่คือ ฟีเจอร์สำคัญ ที่อัพเกรดกับกุญแจ Honda Smart Key

ชุดสวิทช์แฮนด์ด้านซ้ายก็มีปุ่มสำหรับใช้งานทั่วๆไป
สวิทช์ขวา มีปุ่ม Idling Stop System (โดยการทำงานผมพบว่ามันทำงานค่อนข้างช้ามาก ต้องจอดนิ่งประมาณ 5 วินาที หรือ บางครั้งต้องรอนานถึงเกือบ 10 วินาที)

สำหรับวิธีดูว่า All New Lead125 2022 สีแดง ต่างจาก 2021 ยังไง นอกจากดูเบ้ากุญแจแล้วก็ดูเบาะ เพราะ 2022 จะให้เบาะน้ำตาลทูโทน โฉม 2021 เป็นสีดำซึ่งตัวเบาะสีดำ จะถูกยกไปใส่ในสีน้ำเงินแทน ขณะที่คันสีขาว 2022 จะขาวกว่า 2021 ที่ออกไปทางสีครีมมากกว่า

จุดขายของ LEAD125 ตั้งแต่ตัวเก่า คือ เมื่อเปิดใต้เบาะจะพบ U-Box ขนาดใหญ่ 37 ลิตร ใหญ่ที่สุดในรถ AT พิกัดเดียวกัน ขนาด 125cc วางหมวกแบบเปิดคางได้ 2 ใบ หรือ Fullface 1 ใบ พร้อมใส่กระเป๋ากล้องเข้าไปได้อีกสบายๆ

ลิ้นชักฝั่งซ้าย ลึกพอที่จะวางขวดน้ำ 600cc ลงไปได้ และปรับช่องจ่ายไฟ มาให้เป็น USB Type A

ตรงกลางมีตะขอ ไว้แขวนของ ซึ่งพับได้

ถังน้ำมันกลางบอดี้ความจุ 6 ลิตร

ล้ออัลลอย ขอบ 12″ ด้านหน้าสวมยาง 90/90-12 และด้านหลัง 10″ สวมยางไซส์ 100/90-10

มิติรถ Lead125
เบาะสูง 760 มม.
นน. 114 กก. Wet
ระยะฐานล้อ 1,273 มม.
ระยะ Ground Clearance 140 มม.
ถังน้ำมันจุ 6 ลิตร

ท่านั่ง
เริ่มที่ความสูงเบาะ 760 มม. ผมสูง 175 ซม. สวมรองเท้าผ้าใบต้องบอกว่าเหยียบลงเต็มเท้าได้สบาย

พื้นที่ Floorboard ค่อนข้างน้อย ทำให้โดยรวมท่านั่งการวางเท้าจะถูกบล็อกตำแหน่งไว้ อาจจะไม่สามารถเหยียดเท้าได้มาก ดังนั้นขี่เดินทางยาว บอกเลยเมื่อยขา เพราะไม่มีที่ให้ขยับ

ช่วงแฮนด์ ค่อนข้างแคบทำให้หักเลี้ยวง่าย แต่ผมพบว่า ช่วงของระยะ Clearance ตรงเข่าน้อย ถ้าใครช่วงขายาว ก็อาจจะนั่งแล้วติดๆ
การหักเลี้ยวแคบๆ ก็จะลำบากสักหน่อย

ด้านพื้นที่ของเบาะ ถือว่าดีเลยนั่งสบาย เพราะแม้รูปลักษณ์แอบคล้าย Moped แต่ เบาะนั่งใหญ่กว่านั่งได้สบายกว่า

นอกจากนี้บอดี้ ถือว่าค่อนข้างเล็ก และ นน.ตัว 114 กก. ก็กำลังดีสำหรับรถ AT 125cc ซึ่งทั้ง นน.ตัว และ ความสูงเบาะ สำหรับสาวๆ ตัวเล็ก ผมว่าก็ยังขี่ได้สบายไม่ยากเย็น

สำหรับตำแหน่งคนซ้อน
ตัวพักเท้าผมต้องใช้มือกางออก เพราะใช้ส้นเท้าเกี่ยวออกลำบาก (แต่ก็สามารถเกี่ยวออกได้อยู่)
ตัวเบาะท้าย ถือว่ากว้างใหญ่ และแบน เมื่อเทียบกับรถในพิกัดประมาณนี้ โดยรวมยังนั่งได้สบาย ถ้าผู้ซ้อนท้ายตัวใหญ่ยังนั่งได้แบบสบายอยู่ ส่วนมือจับกันตกที่เป็นแร็คหลังในตัวผมว่าจับไม่ค่อนถนัดมือเท่าไร

เครื่องยนต์ 125cc บล็อกใหม่ อัพมาเป็น รหัส eSP+ ยังเป็นแบบ SOHC แต่ปรับจาก 2 วาล์ว มาเป็น 4 วาล์วแล้วใน eSP+ บล็อกนี้ ซึ่งเคลมว่า แรง, ลื่น, สมูทขึ้น อัตราสิ้นเปลืองที่แจ้งมา 52.6kml เคลมประหยัดขึั้นกว่าเดิม 2.6kml

จากการที่เขาปรับบล็อกเครื่องมาเป็น eSP+ ทำให้ผมคิดว่ามันต้องแรงขึ้นมากๆ แต่เนื่องจาก Lead เดิม eSP ก็ถือว่าขี่ดีแรงพอตัวอยู่แล้ว ในโฉม Lead 2022 ผมก็เลยรู้สึกว่ามันก็แรง เหมือนๆกัน จังหวะเปิดคันเร่งช่วงแรก อาจจะมีหน่วงนิดหน่อย เพื่อให้การเดินคันเร่งทำได้สมูทขึ้น แต่เมื่อพ้นช่วงนั้น รถก็เริ่มดึง สัมผัสได้ตามความแรงฉบับ eSP+

ตามที่บอก คันเร่งหน่วงนิดหน่อย แต่พอเข้าสู่ย่านกำลังของรถแล้ว รถดูพุ่งดี เนื่องจากไม่มีการเคลมตัวเลขแรงม้า แต่ผมพบว่ามันแรงขึ้นกว่าเดิม เล็กน้อย ซีึ่งก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในเมืองแล้ว

ส่วน TopSpeed รถพิกัดนี้ รูปลักษณ์แบบนี้ ไม่ได้เน้นตัวเลขสูงมาก ผมทำก็ได้เท่าเดิมเลย คือ 110 kmph บนมาตรวัด แต่ GPS จริงได้เท่าไร ชมได้ที่คลิปทดสอบนี้เลยครับ

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าแบบ Telescopic หัวตั้ง และด้านหลังแบบโช้กสปริงเดี่ยว Unitswing

ซึ่งดูสเป็กแล้วน่าจะคล้ายเดิม แต่ผมกลับรู้สึกว่าขี่แล้ว ทำไม ด้านหลังมันแข็งขึ้น ไม่ได้ดูนิ่มนั่งสบายเหมือนเดิม

เวลาผ่านทางขรุขระ ทางรถไฟ ก็ต้องบอกสั่นสะเทือนพอสมควรเลย ส่วนตัวผมคาดว่า มันอาจถูกปรับเซ็ทใหม่ให้ รองรับกับสมรรถนะที่แรงขึ้นตามแบบฉบับของเครื่อง eSP+

ซึ่งผมก็รู้สึกว่า แม้มันจะแข็งขึ้นนั่งไม่สบาย แต่พอขี่เร็ว หรือ มีคนซ้อน ก็พบว่ามันไม่ค่อยย้วยเหมือนตัวเดิม แต่ก็อาจจะยังพบจังหวะเด้งๆ อยู่บ้าง

ขณะที่เวลาเราขี่เร็วๆ ก็ยังคงมีอาการหน้าเบา เหมือนเดิม จุดนี้ต้องระวัง ผมรู้สึกว่าเวลาขี่และต้องการพลิกรถเร็วๆ ต้องระมัดระวัง เนื่องจากความรู้สึกในจังหวะพลิกดูเบาโหวงไม่ไปเลย แทบไม่รู้สึกถึงความหนืด ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะล้อหน้าใหญ่กว่าล้อหลัง 2″

ระบบเบรก จะเป็นแบบดิสก์ที่ด้านหน้า ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์ 1 pot Nissin
หลังดรัมเบรกมาพร้อมระบบ Combi Brake

ฟีลลิ่งภาพรวมการทำงานนั้น สมรรถนะเบรก เพียงพอกับกำลังเครื่องยนต์ ชะลอความเร็วได้ดีในระดับหนี่ง แต่ถ้าขี่มาเร็วๆ ก็ต้องเผื่อระยะกันหน่อย รวมถึงตำแหน่งการกำเบรก ต้องกดก้านลงลึกสักหน่อยทั้ง 2 ฝั่ง แต่ฝั่งซ้ายที่เป็นดรัม สามารถใช้นิ้วหมุนน็อตยึดสายสลิงเบรกหลังได้เลย

และแม้จะไม่มี ABS แต่ให้ Combi Brake มาซึ่งก็ถือว่าช่วยได้ดีในระดับหนึ่ง คือ สามารถเบรกกดเต็มแรงได้เลยทั้ง 2 ฝั่ง มันจะช่วยมากระจายแรงเบรก ให้บาลานซ์ ทำให้คอนโทรลรถได้อยู่โดยไม่ยาก

สรุป รีวิว 2022 Honda Lead125 กับการปรับโฉมเป็น All New เรื่องขุมกำลังเนื่องจากตัวเดิมทำไว้ค่อนข้างดี ดังนั้นตัวนี้ก็ยังทำได้ดีในระดับที่คุณเห็นโลโก้ eSP+ แล้ว ยังไม่ผิดหวัง โดยรวมการเพิ่มออปชั่น อย่าง Keyless และ USB A ก็ถือว่าทันยุคทันสมัย มากขึ้น และรถยังคงคอนเซ็ปต์ ที่ตอบโจทย์คนขี่ทุกเพศ ทุกวัยเป็นรถที่ขี่ง่าย และจุของได้เยอะ และยังมี Rack ท้ายติดตั้งมาให้รัดสัมภาระจากโรงงานอีกด้วย