รีวิว Triumph Tiger Sport 660 ได้ลองแล้วติดใจ ลบภาพจำเสือสายลุย เป็นเสือสายสปอร์ตบิดมันส์
รีวิว Triumph Tiger Sport 660 บิดน้องเสือมิดไซส์คันสุดท้องของตระกูล บิดออกทริปเกือบ 300 กม. กดยับเค้นสมรรถนะกันแบบเต็มเปี่ยม เป็นยังไงบ้างมารับชมกันครับ
หลังจากที่ Triumph ได้เปิดตัว น้องเสือตัวสุดท้อง อย่าง Tiger Sport 660 ไปเมื่องาน TIME2021 ที่ผ่านมา ล่าสุดทีมงาน MotoRival เราก็ได้มีโอกาสทดสอบมันเสียที โดยเราได้รับเชิญจากทาง Triumph Motorcycles Thailand มาร่วมทริป กทม.-เขาใหญ่ ทดสอบสมรรถนะ ของมันกัน จะเป็นยังไงบ้าง มารับชมกันได้เลยครับ
ในส่วนของรูปลักษณ์นั้น ที่จริงผมต้องบอกว่า ชื่อเต็มของมันคือ Tiger Sport 660 ดังนั้น ดีไซน์จะมีความเป็นสปอร์ตทัวริ่งมากกว่า พี่เสือคันอื่นๆ ที่เน้นสไตล์ Adventure
เริ่มที่ชุดแฟริ่ง ตั้งแต่ด้านหน้าไล่ไปแฟริ่งด้านข้าง จนแฟริ่งครอบถัง ให้ความโฉบเฉี่ยว หรือแม้แต่ยังโคลนหน้าก็ดูปราดเปรียว แหลมคมเช่นกัน
วินชิลด์หน้า ปรับระดับได้หลาย Step ด้วยการใช้มือโยกขึ้น ซึ่งถ้าใช้สองมือก็จะโยกยกไม่ยาก แต่ถ้าขี่อยู่อยากยกวินชิลด์ แบบนี้จะลำบาก เพราะการใช้มือเดียว ไม่ง่ายสักเท่าไร ทำให้ต้องค่อยๆ ผ่อนความเร็วลง ทางที่ดีจอดปรับดีกว่าครับ
ขณะที่ Hand Guard ในสเป็กไทยให้มาเป็น Standard ต่างประเทศต้องซื้อเป็นออปชั่นเสริม
นอกจากนั้นหลายคนอาจจะคิดว่ามันอิงพื้นฐานจาก Trident 660 ทั้งหมดเลยหรือเปล่า จะว่างั้นก็ไม่เชิง เพราะที่จริงเฟรมเหล็กของมันได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อให้ขี่ลุยได้มากขึ้น
รวมถึงขาตั้งเหล็กของมันที่หนาแข็งแรงกว่า จนสาวก Trident อยากจะเบิกขาตั้งเจ้าเสือ 660 นี้ไปใส่แทนเลย
นอกจากนั้นชุดแฟริ่งท้าย ก็ได้ออกแบบให้จุดติดตั้งกล่องแบบ Built in ด้วย
ลูกค้าสามารถซื้อเป็น Accessories เสริมได้ (ประกอบไปด้วย เซ็ทกล่องข้าง 2 ใบ และ เซ็ทด้านบนอีก 1 ใบ)
หน้าจอ Digital TFT ด้านบนครึ่งวงกลม จะเป็นวัดรอบเครื่อง และความเร็วเป็นตัวเลข มีเกจ์น้ำมัน ด้านล่างเป็นเลขบอกตำแหน่งเกียร์, นาฬิกา โดยสามารถเซ็ท Riding Mode ได้ 2 แบบ (Road/Rain) รวมถึง TC ที่เปิด-ปิดได้ และยังรองรับอุปกรณ์เสริม My Triumph Connectivity ที่จะเชื่อมต่อ GoPro ได้ ตรงนี้ต้องซื้อเป็นออปชั่นเสริม เช่นเดียวกับ Trident
มิติรถ
นน. 206 กก. (Wet)
ความสูงเบาะ ขึ้นมาอยู่ที่ 835 มม.
ถังน้ำมันจุ 17 ลิตร
สำหรับสรีระผมสูง 175 ซม. สวมผ้าใบ เหยียบลงไม่เต็มเท้า ส้นลอยนิดๆ แต่ก็เข้าใจได้กับสไตล์รถเช่นนี้ ที่เบาะนั่งจะกว้างสักหน่อย เน้นนั่งสบาย และตัวเลข 835 มม. ก็สูงในระดับหนึ่งไล่ๆ กับพวก Replica Bike
แต่จุดที่ชอบคือ แม้จะเห็นแฟริ่งปีกข้าง และครอบถังดูโป่งหน้า แต่ทว่าพอนั่งคร่อมหนีบ Grip Tank กระชับช่วงเข่าดีมาก เพราะตรงพลาสติกเหนือเฟรมแคบ มำให่รู้สึกกระชับดีมาก ต่างจาก ADV 650 รุ่นอื่นๆ หลายรุ่นที่ผมเคยขี่อาจจะไม่กระชับเท่านี้
ส่วนตำแหน่งแฮนด์ กว้างกำลังดีขี่ทางไกลสบายเลย มาพร้อมการ์ดแฮนด์ ช่วยลดลมปะทะ
สำหรับความสูงแฮนด์ไม่สูงไม่เตี้ย กำลังดีสำหรับผม เวลานั่งขี่ แต่ถ้ายืนขี่ ผมว่าเตี้ยไปหน่อย แต่ก็เข้าใจได้รถล้ออัลลอย 17″ หน้า-หลัง เน้นทางดำไม่ได้ให้ยืนลุยทางฝุ่นอยู่แล้ว
ต่อมาอีกจุดที่ชอบ น้ำหนักตัว 206 กก. ค่อนข้างเบาเลยกับรถในประเภทนี้ ไซส์นี้ ขี่แล้วพลิกง่าย คล่องตัว ไม่เกะกะ เวลาซอกแซกช่องจราจรระหว่างเลน แต่เรียนตามตรงว่าไม่ได้ลองรถติดหนักแบบไฟแดงในเมือง
พูดถึงการปรับวินชิลด์หน้า ถ้าในเมืองขี่ไม่เร็วผมกดต่ำสุดเพื่อให้ได้ลมปะทะ แต่พอขี่เร็วๆ จุดสังเกตุ คือ ผมยกขึ้นสูงสุดจะตีเข้าศรีษะมาก และชิลด์สั่นมาก เวลาขี่ความเร็วระดับหนึ่ง เพราะจุดยึดฐานชิลด์ด้านล่างมันแคบ ซึ่งการสั่นกระพือตรงนี้ จะส่งผลไปถึงตัวจอมาตรวัดสั่นตามด้วย สำหรับผมเองปรับในระดับกลางๆ กำลังพอดี
เครื่องยนต์ 3 สูบ 660cc DOHC ระบายความ้อนด้วยน้ำจาก Trident ให้กำลัง 80 hp และแรงบิด 64 Nm
มาพร้อม Slipper Clutch และรองรับการติดตั้ง QuickShift 2Way เพราะ คันนี้เป็น Ride by Wire (ต้องซื้อเป็นออปชั่นเสริมเช่นกัน)
ข้อดีของขุมพลังมิดไซส์ ที่เป็นบล็อก 3 สูบ นี้ คือ แรงบิดกว่า 90% มีให้เรียกใช้ในทุกย่านกำลัง อันนี้การันตีได้จากใน Trident ซึ่งผมได้มีโอกาสทดสอบมาเมื่อช่วงปีที่แล้ว แต่อาจจะมีการปรับเซ็ทอัตราทดเกียร์ช่วงเกียร์ 3-4 ให้มันยาวขึ้น เหมาะกับการเดินทางไกล ลดความจัดจ้านลงจากโฉม Naked ลง แต่อย่างไรก็ดีผมสามารถกระแทกคันเร่งจากเกียร์ 6 เพื่อเร่งแซงเวลาเดินทางได้โดยไม่ต้องลดเกียร์ด้วยซ้ำ ช่วงความเร็ว 100 นิดๆ กระแทกคันเร่งแซงได้เลย รวมถึงเวลาที่เราต้องขี่ขึ้นทางชัน คือ เกียร์สูงๆ ก็ยังมีทอร์คให้เรียกใช้ได้ไม่ต้องลดเกียร์ลง
แต่ผมจะชอบลดเกียร์ในช่วงที่เราเจอโค้งมุมอับ ตอนเข้าโค้งอุโมงค์ต้นไม้มากกว่า เพราะ Slipper Clutch ทำให้ Engine Brake ออกมาค่อนข้างเบา
โดยรวมขี่ใช้งานทั่วๆไป 4,000rpm นิดๆ ก็ขึ้นเกียร์ได้เลย ไม่จำเป็นต้องลากไปแตะถึง 10,000rpm ขนาดนั้น ยกเว้นอยากรีดเค้นสมรรถนะสูงสุด ซึ่งน่าเสียดายที่ผมไม่ได้มีโอกาสทดสอบ 0-TopSpeed ในทริปนี้ เพราะรถเยอะมาก และไม่มีจังหวะถนนโล่งอันตราย
ขณะที่ Ride Mode ผมใช้ Road อย่างเดียว ไม่ได้ใช้ Rain เพราะไม่เจอฝน เลยขอบิดรีดสมรรถนะเต็มๆ
ส่วน TC ผมว่ามันทำงานเร็วไปหน่อย แค่ผ่านลูกระนาด หรือ ทางรถไฟ ถ้าไม่เบรกให้ช้าก็ทำงานแล้ว ตัวระบบ TC มีแค่ เปิด-ปิด ซึ่งผมเลือก เปิดไว้ดีกว่า เพราะบนถนนมีหลายช่วงเศษฝุ่นทรายมีมาตลอด โดยเฉพาะในโค้งอาจลื่นผมเลยเลือกเปิดไว้ไม่ปิด เพื่อความปลอดภัย
เรื่องความร้อน ก็พอควรแอบรู้สึกว่าร้อนกว่ารถญี่ปุ่น 2 สูบในไซส์นี้อยู่นิดนึง เพราะขี่เดินทางไกลผมว่าไอร้อนน่าจะน้อยกว่านี้หน่อย เพราะรู้สึกได้ที่หน้าแข้งขวา (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวันที่เราขี่อากาศร้อนอบอ้าวด้วย)
ขณะที่อัตราสิ้นเปลืองตามมาตรวัดบอกผมบิดได้ ช่วง 20 กม./ลิตร ก็ต้องบอกว่าหวดหนักพอสมควรเลย มีช่วงที่ผมไปแถวท้ายขบวน เลยมีช่วงให้กดไล่ขึ้นมา วิ่งถึงระดับ 180 กม./ชม.+ รวมถึงช่วงต้องเบรก และกระแทกคันเร่งเพื่อแซงรถติดบนถนนวิภาวดี ยาวไปถึงออกอยุธยา
ระบบกันสะเทือน ปรับเซ็ทใหม่ เพิ่มระยะยุบ เน้นเดินทางพร้อมลุยยิ่งขึ้น
โช้กหน้า USD จาก SHOWA ขนาดแกน 41 มม. ด้านหน้าระยะยุบ 150 มม.
โช้กหลังเดี่ยว มีประปุกแยกปรับพรีโหลดได้โดยการบิดหมุนเลยสะดวก วางอยู่บนสวิงอาร์มแขนคู่ แต่สวิงอาร์มแม้ดีไซน์คล้าย Trident แต่จะมีความยาวมากกว่า
โดยรวมตามชื่อเลยครับออกทางสปอร์ตเลย คือ แข็งสำหรับผม ถ้าขี่ในเมือง แข็งไป! ช่วงเจอลูกระนาด ทางรถไฟ หลุมบ่อ ต่างๆ ด้านหน้าก็แอบกระแทกอยู่เหมือนกัน
ข้อดี คือ เฟิร์ม ให้อารมณ์สปอร์ตสมชื่อ เหมาะเวลาเดินทางไกล ขี่ใช้ความเร็ว เพราะจังหวะบิดที่ระดับ 180 กม./ชม. ผมว่ายังแน่นไม่หวาดเสียว สรุป คือ ขี่ทางดำเดินทางเหมาะมากๆ แต่ลุยไม่เวิร์ค ดังนั้น ต้องแยกกับความที่ Tiger พี่ๆ คันอื่นเป็นสาย ADV จะให้ตัวมากกว่า หรือ คู่แข่ง เครื่อง V-Twin ที่ให้ล้อหน้าเป็นซี่ แบบ 19″ อันนั้น ช่วงล่างจะยืดหยุ่นกว่า ตามสไตล์ ADV bike
ด้านหลังก็ปรับพรีโหลดเอาตามเหมาะสม จะขี่คนเดียว หรือ เน้นเดินทางกับแฟน หรือ บรรทุกสัมภาระก็ขันปรับกดพรีโหลดเพิ่มเอาได้
ชุดล้อเหมือนเดิม รัดยาง Road5 ด้านหน้ากว้าง 120 หลัง 180 Grip ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ขี่สนุกพลิกเลี้ยวได้คล่องแคล่ว การันตีจาก Trident และ สปอร์ต รวมถึง เน็คเก็ท รุ่นอื่นๆ ก็ใส่ตัวนี้เช่นกัน
ระบบเบรก เหมือน Trident
จานหน้าดิสก์คู่ขนาด 310 มม. ทำงานร่วมกับ Nissin Caliper 2 pot
จานดิสก์หลังเดี่ยวขนาด 255 มม. ทำงานร่วมกับ Nissin Caliper 1 pot
ภาพรวมก็ยังดูดีในจังหวะลงน้ำหนักแรกเบรกดูดจิกใช้ได้ แต่ถ้าซัดๆมา คือ ต้องเบรกลงน้ำหนักเยอะ จนผมว่าอยากได้คาลิปเปอร์เบรกหน้า 4 pot จะทรงพลังปราบเจ้าเสือได้อยู่หมัดดีกว่า
ส่วนเบรกหลัง ทำงานดี แต่ ABS จับไวไปหน่อย ตามสไตล์ Nissin ลูกสูบโต
สรุป รีวิว Triumph Tiger Sport 660 เสือน้องเล็ก ที่บิดมันส์ แต่ก็เชื่องมือเวลาคอนโทรล และตามชื่อมันเป็นสปอร์ต หมายความว่า เน้นฟีลลิ่งการขับเชิงสมรรถนะบนถนนดำ มันจึงเป็นสปอร์ตทัวริ่ง ไม่ได้เป็น ADV Tour เหมือน พี่ๆตระกูลเสือคันอื่น
ดังนั้น ถ้ามองหารถเดินทางไกล บิดดีทุกช่วง ช่วงล่างดีจบ Tiger Sport 660 เลยครับ ถ้าจะทำเพิ่ม แนะนำ อัพเกรดเบรกสักหน่อย และติด QuickShift เพิ่ม ขี่มันส์ยิ่งกว่าเดิมแน่นอน แต่ถ้าจะเอาไปลุยด้วย คันนี้คงจะไม่เหมาะเท่าไรครับ
Triumph Tiger Sport 660 ราคา 3.59 แสนบาท มี 3 สี คือ แดง, น้ำเงิน, เทา
ขอขอบคุณ Triumph Motorcycles Thailand
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
สุภิญญา ชำนาญกุล Photo
อ่านข่าว Triumph ได้ที่นี่
อ่านรีวิว อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
