แม้ว่า Honda CBR600RR 2021 โฉมล่าสุดอาจจะพึ่งมีการเปิดตัวในประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าซุปเปอร์สปอร์ตไบค์รุ่นนี้กลับไม่สามารถทำตลาดในทวีปดังกล่าวได้เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro5 และ Yamaha YZF-R6 เองก็ถูกยุติการขายตัวรถโปรดักชันไบค์ในปี 2021 ไป ซึ่งนั่นหมายความว่ามันถึงวาระสุดท้ายของรถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ 600cc คลาสนี้แล้วจริงหรือไม่ ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หากเป็นสถานการณ์ปกติ ดูเหมือนว่าซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ในคลาสนี้ ได้ใกล้ถึงวาระสุดท้ายในตลาดโลกแล้วจริงๆ โดยมีสาเหตุหลักๆเริ่มจาก เรื่องของกติกาการแข่งขันในศึก WSS หรือ Supersport World Championship รวมถึงกติกาการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ระดับประเทศขึ้นไปของทั่วโลกที่ตีกรอบความจุเครื่องยนต์เหล่านี้ไว้ชัดเจนว่า เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ต้องมีความจุไม่เกิน 600cc, เครื่องยนต์ 3 สูบเรียง ต้องมีความจุไม่เกิน 675cc, และ เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ต้องมีความจุไม่เกิน 750cc ที่เปรียบเสมือนกับบรรทัดฐานว่ารถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์สปอร์ตไบค์คลาสนี้ควรมีความจุเท่าไหร่ไปในตัว
ซึ่งพอกรอบตรงนี้ถูกตีเอาไว้ มันสวนทางกับแนวทางการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบัน ที่ต้องขยายความจุเครื่องยนต์ เพื่อผ่านมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าไม่ขยายความจุ ความแรงก็จะน้อยลงจนลูกค้าไม่อยากซื้ออีก (แน่นอนว่าลูกค้าที่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์กลุ่มนี้ย่อมมองที่ความแรงเป็นหลักอยู่แล้ว) ดังนั้นในมุมของผู้ผลิต จึงมองว่าความจุเดิมๆที่กำหนดไว้นั้นไม่เอื้อต่อการพัฒนาให้ผ่านมาตรฐานดังกล่าวได้ด้วยงบที่คุ้มทุนต่อการวางขายจริงอีกต่อไปแล้ว (ทั้งนี้ไม่นับประเทศไทยของเราที่ยอดขายรถมอเตอร์ไซค์กลุ่มนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องสวนทางกับทิศทางตลาดโลก)
จากเหตุผลข้างต้นที่เกริ่นมา ทำให้ซุปเปอร์สปอร์ตไบค์หลายคันต้องยุติการทำตลาดในทวีปยุโรปไปแล้วหลายรุ่น ทั้ง Honda CBR600RR, Suzuki GSX-R600, MV Agusta F3 675, Triumph Daytona 675, และล่าสุด Yamaha YZF-R6 ที่พึ่งประกาศถอนตัวไปเมื่อปลายปีก่อน เหลือเพียงซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ที่ขยายเครื่องยนต์หนีไปก่อนแล้วอย่างเช่น Kawasaki ZX-6R (4 สูบเรียง 636cc), Suzuki GSX-R750 (4 สูบเรียง 749cc), MV Agusta F3 800 (3 สูบเรียง 799cc), Ducati Panigale V2 (2 สูบเรียง 955cc) เท่านั้นที่ยังขายได้ แต่แน่นอนว่าพวกมันก็ไม่สามารถนำไปใช้ในการแข่งขัน WSS ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดีใช่ว่าเรื่องนี้จะถึงทางตัน เพราะล่าสุดทาง FIM ผู้เป็นตัวกำหนดกติกาการแข่งขัน Supersport World Championship รวมถึงกติกาการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ระดับประเทศของทั่วโลก ได้เริ่มแสดงความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับกติกาเจ้าปัญหานี้บ้างแล้ว นั่นคือการอณุญาตให้ผู้ผลิตสามารถส่งตัวแข่งที่มีความจุมากกว่ากติกาเดิมมาลงแข่งในรายการที่ตนรับรองได้ ยกตัวอย่างเช่นในการแข่งขัน BSB หรือ British Superbike ปี 2021 ที่ Triumph เตรียมส่งซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ 765cc (ค่อนข้างแน่นอนว่าเป็น Daytona 765 รุ่นใหม่) ลงแข่งในศึกนี้ รวมถึง Ducati เองก็มีข่าวลือว่ากำลังพัฒนา Panigale V2 ให้เหมาะกับการแข่งขันที่ว่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากผลตอบรับดี ตัวแข่งสามารถสู้กันได้อย่างสูสี ไม่แตกต่างกันในด้านสมรรถนะมากเกินไป FIM ก็พร้อมที่จะนำกติกาใหม่นี้ไปปรับใช้กับศึกสองล้อรุ่นซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ทั่วโลกในปีถัดๆไปทันที
และว่าเมื่อ FIM ได้มีการอนุมัติให้ตัวแข่งซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ 3 สูบเรียง และ 2 สูบเรียง สามารถใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุมากขึ้นได้แล้ว ทางฝั่งซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ 4 สูบเรียงเอง ก็จะต้องมีการปรับกรอบกติกาความจุเครื่องยนต์ใหม่ให้สูงขึ้นเช่นกัน จนอาจจะอยู่ในช่วง 650cc-750cc ก็เป็นได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้ง MV Agusta F3 800, Suzuki GSX-R750, Kawasaki ZX-6R (636) ก็จะสามารถนำมาใช้แข่งขันในรุ่นกลางได้ด้วย และ Honda CBR600RR กับ Yamaha YZF-R6 ก็อาจจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม (แต่ถ้าหากสุดท้ายทั้งค่ายปีกนกและส้อมเสียงตัดใจจากซุปเปอร์สปอร์ตไบค์ทั้ง 2 รุ่นของพวกเขาแล้วจริงๆ เราก็อาจจะได้เห็น CBR650R ลงแข่งกับ MT-07/ MT-09 ร่างสปอร์ตไบค์แทนก็ได้)
แน่นอนว่าบทความในครั้งนี้ ยังเป็นแค่เพียงการวิเคราะห์จากทิศทางและข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น แต่อย่างน้อยเราก็มองว่า “ซุปเปอร์สปอร์ไบค์ไซส์กลาง” จะยังคงไม่ล้มหายตายจากตลาดโลกไปในเร็ววันนี้แน่นอน เว้นเสียแต่ว่ามันจะถึงยุคที่ทั่วโลกแบนการใช้รถมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์สันดาปภายในไปก่อน
แล้วเพื่อนๆล่ะครับ มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ? ลองคอมเมนท์กันเข้ามาได้เลยครับ
อ่านข่าว Honda เพิ่มเติมได้ที่นี่