เปิดสเป็ก MV Agusta Brutale 1000 RR ว่าที่ SuperNaked จอมพลัง งานระดับมาสเตอร์พีซแห่งอิตาลี

0

ถึงแม้อันที่จริง MV Agusta Brutale 1000 RR จะถูกเผยโฉมอย่างเป็นทางการในอิตาลีไปแล้วตั้งแต่ปลายปีก่อน ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนักทางทีมงานเราพึ่งได้รับเชิญจาก MV Agusta ให้ร่วมเจาะลึกกับทางทีมออกแบบด้วย แต่ในวันนี้เราจึงขอพาเพื่อนๆไปดูกันหน่อยดีกว่าครับว่าเจ้าสปอร์ต-เนคเก็ทไบค์สุดหรูคันนี้ จะมีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจบ้าง

2020-mv-agusta-brutale-1000rr-official-05
โดยสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆของ Brutale 1000 RR คันนี้นั้น ในเบื้องต้นแล้ว มันก็ยังคงเหมือนกับ Brutale 1000Serie ORO ที่เผยโฉมเมื่อปี 2018 นั่นก็คือ จะมาพร้อมกับไฮไลท์สำคัญคือ เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 998cc ที่ยกและปรับปรุงมาจาก F4 RC หลายอย่างด้วยกัน ทั้งการใช้ชุดฝาสูบงานอลูมิเนียม CNC, แล้วเน้นลดแรงเสียดทานตามชิ้นส่วนต่างๆในเครื่องยนต์ให้ต่ำลงเป็นพิเศษ ทั้งลูกสูบ, แหวนลูกสูบ, แคมชาฟท์, รีเทนเทอร์วาล์ว, ไกด์วาล์ว, ชุดเกียร์, และระบบอ่างน้ำมันเครื่องแบบ Semi-Drysump ที่ช่วยให้เครื่องยนต์มีขนาดเล็กลง ช่วยให้น้ำมันเคร่ืองไม่ไหลหรือเหวี่ยงไปกับแรงเหวี่ยงมากเกินไป และช่วยให้ปั๊มน้ำมันสามารถควบคุมน้ำมันเครื่องให้ไหลเวียนไปอยู่ในจุดที่ควรไปได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

MV-Agusta-Brutale-1000rr-Engine-detail-01
ไม่เพียงเท่านั้นในส่วนชุดแคมชาฟท์ของเครื่องยนต์ที่อยู่ใน Brutale 1000 RR จะเป็นแบบแรกและแบบเดียวที่ใช้หนึ่งในเทคโนโลยีจากตัวแข่ง MotoGP มาช่วย นั่นก็คือการออกแบบให้ชุดเฟืองขับโซ่ราวลิ้น ไปอยู่ตรงกลางท่อนแคมชาฟท์ (แนวโซ่ราวลิ้นผ่ากลางเสื้อสูบขึ้นมา) ไม่ใช่ปลายด้านใดด้านหนึ่งเหมือนที่เราคุ้นชิน ซึ่งการออกแบบเช่นนี้จะทำให้มันลดการบิดตัวของแคมชาฟท์ได้ดีมาก ส่งผลให้แคมชาฟท์สามารถทำงานได้อย่างเสถียรมากยิ่งขึ้นในช่วงความเร็วสูง, ช่วยลดขนาดด้านกว้างของเครื่องยนต์ลงอีกเล็กน้อย, และช่วยให้จุดศูนย์ถ่วงของเครื่องยนต์รวมไปอยู่ตรงกลางมากขึ้น (ส่งผลต่อมาถึงเรื่องความสมดุลของตัวรถ)

2020-mv-agusta-brutale-1000rr-official-03
นอกจากนี้ยังมีการเสริมในเรื่องของระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้หัวฉีดทั้งหมด 8 ตัวด้วยกันโดยแบ่งเป็น 4 ตัวจาก Mikuni ที่เอาไว้ทำงานในช่วงรอบต่ำ หรือตอนที่ผู้ใช้ไม่ต้องการเค้นแรงเครื่องยนต์เท่าไหร่นัก กับหัวฉีดอีก 4 ตัวของ Magneti Marelli ที่เอาไว้ทำงานในช่วงรอบสูง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เครื่องยนต์มีอัตราการตอบสนองที่เหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น, เสริมด้วยระบบกล่อง ECU Eldor EM2.10/คันเร่งไฟฟ้า Mikuni/ระบบควบคุมอาการ Missfire เป็นต้นเข้าไปอีก

MV-Agusta-Brutale-1000rr-Engine-detail-02
จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงทำให้เครื่องยนต์บล็อคนี้สามารถทำกำลังสูงสุดได้ถึง 208 แรงม้า ที่ 13,450 รอบ/นาที ขณะที่แรงบิดสูงสุดก็เคลมไว้ 116.5 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบ/นาที แบบสบายๆ และหากลูกค้าเลือกติดตั้งชุดท่อไอเสีย Full System ของ SC-Project สลับแทนท่อเดิมเข้าไป มันก็จะสามารถเรียกแรงม้าเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยเป็น 212 แรงม้า ซึ่งถือว่าสูงมากเลยทีเดียวสำหรับรถมอเตอร์ไซค์แนวเนคเก็ทไบค์

2020-mv-agusta-brutale-1000rr-official-02
โดยเกี่ยวกับจุดนี้ Brian Gillen หัวหน้าฝ่าย R&D ได้ระบุว่าโปรเจ็กท์การพัฒนา Brutale 1000 RR คันนี้มีขึ้นตั้งแต่ช่วง 4 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการสร้างรถมอเตอร์ไซค์แนวเนคเก็ทไบค์ที่ใช้เครื่องยนต์สมรรรถนะสูงจนแตะหลัก 200 แรงม้า ดังนั้นจึงหมายความว่านี่คือรถซุปเปอร์เนคเก็ทไบค์ที่พวกเขาตั้งใจออกแบบให้มันมีความแรงมากที่สุดมาแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ได้จะลอกเลียนแบบใครเหมือนอย่างที่หลายๆคนคิดกัน

2020-mv-agusta-brutale-1000-rr-06
ขณะที่ชุดเฟรมแม้จะเป็นแบบเหล็กโครโมลีถัก แต่ก็มีการเสริมโครงล่างให้เป็นแบบอลูมิเนียม เพื่อความแข็งแรง และเบา โดยทาง MV Agusta ได้ระบุไว้ว่าแท้จริงแล้วเฟรมนี้ออกแบบมาเพื่อใช้กับตัวแข่ง Moto2 แต่พวกเขาได้นำมันมาปรับรายละเอียดนิดหน่อยเพื่อใช้กับ Brutale 1000 โดยเฉพาะ ดังนั้นมันจึงมีฟีเจอร์เสริมเข้ามาอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือจุดยึดแกนสวิงอาร์มสามารถปรับเซ็ทตำแหน่งสูง/ต่ำได้ด้วย เพื่อเซ็ทศูนย์ถ่วงของตัวรถ ไม่เพียงเท้านั้นยังมีการเสริมก้านปรับระดับความสูงที่สวิงอาร์มเพิ่มเข้ามาอีก เพื่อที่ว่าการปรับความสูง/ต่ำของรถจะได้ไม่ไปกวนการทำงานของตัวโช้กหลัง

2020 MV Agusta Brutale 1000 RR

2020 MV Agusta Brutale 1000 RR

ระบบช่วงล่างเองก็จัดเต็มตามฉบับ MV Agusta ทั้งชุดโช้กหัวกลับ Öhlins Nix EC และโช้กหลัง Öhlins EC
TTX ที่สามารถปรับเซ็ทได้ทุกค่า ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มแขนเดี่ยว โดยผู้ขี่จะสามารถปรับความแแข็ง/อ่อนของโช้กได้ด้วยตนเอง ส่วนการปรับความหนืดในการยืด/ยุบ จะเป็นหน้าที่ของชุดกล่อง ECU จาก Ohlins ที่จะคอยประมวลผลให้มันทำงานอย่างเหมาะสมกับสถาพผิวถนนตลอดเวลา (ทั้งนี้ก็จะเป็นการปรับค่าตามโหมดการขี่ที่ใช้งานเป็นหลักอยู่ดีด้วย)

2020-mv-agusta-brutale-1000-rr-07
ชุดปั๊มเบรกคู่หน้าเป็นแบบเรเดียลเมาท์โมโนบล็อค 4 พอร์ทรุ่นใหม่ล่าสุดคือ Stylema จาก Brembo ทำงานร่วมกับจานเบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร, ส่วนปั๊มเบรกคู่หลังจะเป็นแบบแอกเซียลเมาท์ 2 พอร์ททำงานร่วมกับจานเบรกขนาด 220 มิลลิเมตร และที่สำคัญคือมีระบบประมวผลการทำงานของ ABS จาก Bosch รุ่น 9 Plus ที่สามารถปรับโหมดการทำงานเป็นแบบ Race Mode แถมยังมีฟังก์ชันในการควบคุมอาการล้อหลังลอยให้ด้วย ขณะที่ชุดล้อจะเป็นงานอลูมิเนียมฟอร์จน้ำหนักเบา รัดด้วยยางไซส์ 120/70-ZR17 กับ 200/55-ZR17 ตามลำดับหน้า/หลัง

2020-mv-agusta-brutale-1000rr-official-07
และด้วยเทรนด์การออกแบบรถใหม่ๆ จึงทำให้พวกเขาพลาดไม่ได้ที่จะออกแบบให้ชุดแฟริ่งกาบข้างหม้อน้ำนั้น มีหน้าตาคล้ายๆกับปีก หรือวิงเล็ทขนาดย่อม ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ช่วงเสริมแรงกดช่วงหน้ารถได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนตัวรถเริ่มทำความเร็วตั้งแต่ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป จนถึงความเร็วสูงสุดของตัวรถที่ทำได้คือ 312 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกนั้นในส่วนแฟริ่งชิ้นอื่นๆจะเป็นการสลับกันระหว่างแฟริ่งที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และเทอร์โมพลาสติก

2020-mv-agusta-brutale-1000rr-official-06
นอกจากนี้พวกเขายังเลือกใช้แฮนด์จับโช้ก พร้อมชุดกันสะบัด ให้เจ้า 2020 Brutale 1000 RR คันนี้เพิ่มเข้าไปอีก แทนที่จะเป็นแฮนด์บาร์เหมือนเนคเก็ทไบค์ทั่วๆไป แต่ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับการทำความเร็วสูง และโจทย์การใช้งานที่อยากให้มันสามารถซิ่งในสนามได้อย่างเหมาะเจาลงตัวมากยิ่งขึ้น

2020-mv-agusta-brutale-1000-rr-08
นอกจากนี้ Gillen ยังระบุอีกว่า ในหลายสิบปีที่ผ่านมา อาจจะจริงอยู่ว่ารถมอเตอร์ไซค์ของ MV Agusta นั้นโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะในสนามแข่ง แต่พอลูกค้าต้องนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันแล้ว มันกลับไม่ค่อยมีความเป็นมิตรเท่าไหร่นัก ดังนั้นในตัว Brutale 1000 RR คันนี้ ทางทีม R&D จึงตั้งเป้าหมายในการออกแบบเพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือนอกจากจะพยายามทำให้มันเป็นซุปเปอร์-เนคเก็ทที่มีสมรรถนะสูงในการลงสนามแล้ว ยังต้องเป็นมอเตอร์ไซค์ที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ติดขัดด้วย

ทั้งนี้ ผลพลอยได้ของการออกแบบที่ทำให้ Brutale 1000 RR มีความเป็นมิตรกับผู้ขี่มากขึ้นก็คือ มันจะส่งผลให้ผู้ขี่สามารถเชื่อใจในตัวรถได้ง่ายยิ่งขึ้น และกล้าที่จะพารถไปถึงขีดจำกัดได้มากกว่าเดิม ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดที่ทำให้ผู้ขี่สามารถสนุกไปกับรถมอเตอร์ไซค์ของพวกเขาได้ดีขึ้นไปอีกหลายเท่าเมื่อเทียบกับรถมอเตอร์ไซค์คันอื่นๆที่ตนเองเคยทำมา

2020-mv-agusta-brutale-1000rr-official-08
ด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับจัดการตัวรถก็มีทั้ง Engine Mode, Traction Control, Anti-Wheelie, Launch Control, Quickshifter Bi-Direction, Electronic Steering Damper (กันสะบัดไฟฟ้า), Auto-off Indicator ซึ่งทั้งหมดที่ว่านี้จะแสดงผลบนหน้าจอ TFT-Full Color ขนาดใหญ่ 5 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อเข้าถึงฟังก์ชันระบบนำทาง, รับสายเข้า, และอื่นๆได้ด้วย

ซึ่งทาง Gillen ได้ระบุเพิ่มอีกว่าพวกเขาต้องใช้ระยะเวลาการทำงาน และทำการทดสอบระบบควบคุมนี้ถึง 170,000 ชั่วโมง เพื่อที่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเหล่านี้จะได้ทำงานได้อย่างทันท่วงที เรียบเนียนและให้ความรู้สึกกับผู้ขี่ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับรถ ราวกับการควบคุมคันเร่งในแต่ละครั้งของผู้ขี่เป็นการสั่งการไปที่ล้อโดยหลังตรง ไม่ใช่การเปิดคันเร่งเพื่อคุมกล่อง ECU, ลิ้นเร่ง, แล้วรอให้ทุกอย่างจัดการมันเองก่อนไปลงที่ล้อหลังเหมือนอย่างเช่นที่รถมอเตอร์ไซค์สมัยใหม่เป็นกัน

MV-Agusta-Brutale-1000rr-Engine-detail-03
และสุดท้ายคือข้อมูลในเรื่องของมิติตัวรถต่างๆ
ระยะฐานล้อ : 1,415 มิลลิเมตร
ความยาว : 2,080 มิลลิเมตร
ความกว้าง : 805 มิลลิเมตร
ความสูงเบาะ : 845 มิลลิเมตร
ความสูงใต้ท้องรถ : 41 มิลลิเมตร
ระยะเทรล : 97 มิลลิเมตร
น้ำหนักไม่รวมของเหลว : 186 กิโลกรัม
ความจุถังน้ำมัน : 16 ลิตร

2020-mv-agusta-brutale-1000-rr-01
ส่วนราคาค่าตัวของ MV Agusta Brutale 1000 RR ณ ขณะนี้มีการประกาศเลขหน้าป้ายสำหรับวางจำหน่ายในประเทศไทยเรียบร้อยที่ 1.9 ล้านบาท

อ่านข่าว MV Agusta เพิ่มเติมได้ที่นี่

เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ

Share.

About Author

error: Content is protected !!