หลังจากที่ Kawasaki ได้ทำการเปิดตัว All-New Z400 และ New Z250 ใหม่ ที่งาน EICMA2018 เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ต่อมาไม่นานนักทาง Kawasaki Motors Enterprise ก็ไม่รอช้านำทั้ง 2 โมเดล มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่งาน Motor Expo 2018 และล่าสุดเราจะมา รีวิว Kawasaki Z400 ใหม่ นี้ ในแบบ 1st impression กันครับ
เมื่อวันที่ 13 มกราคม ปี 2019 ที่ผ่านมาทาง Kawasaki Motors Enterprise ก็ได้จัดกิจกรรมทดสอบให้กับบรรดาสื่อมวลชนสายมอเตอร์ไซค์ของไทย รวมถึงลูกค้าที่สนใจได้ทดลองเจ้า Z400 เป็นครั้งแรก ณ สนาม Motorsport Park Suvarnabhumi ภายในงาน Kawasaki Z400 Test Ride นั่นจึงเป็นที่มาของการีวิว เน็คเก็ท Entry โฉมใหม่ คันนี้ กัน พร้อมแล้วมาชมกันเลย
เริ่มจากในส่วนของหน้าตาที่แน่นอนว่าเจ้า Z400 คันนี้ย่อมจะปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์แบบสปอร์ต-แน็คเก็ท ซึ่งในการปรับโฉมจากรุ่นพี่อย่าง Z300 ของมันในครั้งนี้นั้น ถือว่าทาง Kawasaki ได้เติมความแหลมคมให้กับมันมากขึ้นอีกโขตั้งแต่หัวจรดท้าย (เผลอๆจะเหลี่ยมจัดที่สุดในรถมอเตอร์ไซค์ตระกูล Z ที่วางจำหน่ายอยู่ในขณะนี้)
ชุดไฟหน้ามีการตีกรอบเหลี่ยมสันชัดเจน พร้อมปรับหลอดด้านในเป็นแบบ LED แล้วเรียบร้อย และมีการติดตั้งแผ่นพลาสติกชิ้นเล็กเป็นโหนกด้านบน ขณะที่ชุดไฟเลี้ยวในรุ่นปกติจะยังคงใช้หลอดไส้ทั้งด้านหน้า/ด้านหลังอยู่
ส่วนไฟท้ายเองก็เป็นแบบ LED เช่นกัน โดยในจุดนี้แท้จริงแล้วก็คือชุดเดียวกันกับของ Ninja 400 คู่แฝดของมัน
ขยับมาที่เรือนไมล์หรือตัวมาตรวัดก็จะเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วมันก็คือชุดเดียวกันกับพี่ๆ Z900 และ Z650 แต่มีการปรับวัดรอบใหม่ให้ตรงตามสเปคของเครื่องยนต์ ส่วนฟังก์ชันการแสดงผลพื้นฐานอื่นๆก็ให้มาครบครัน ทั้งตำแหน่งเกียร์, ระยะทาง, ระดับน้ำมัน, และระดับอุณหภูมิของเครื่องยนต์เป็นต้น
ด้านถังน้ำมันขนาดเล็กลงเหลือเพียง 13 ลิตร จากเดิม 17 ลิตร แต่มีการทำเหลี่ยวสันใหม่ให้ดูดุดันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่านี่ก็คือถังน้ำมันที่ยกมาจาก Ninja 400 เช่นกัน โดยทาง Kawasaki ได้เคลมระยะทางสูงสุดต่อน้ำมันหนึ่งถังนั้นทำได้ถึง 350 กิโลเมตรเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างจากตอนยังเป็น Z300 เลยแม้แต่น้อย
ตัวแฮนด์บาร์ออกแบบให้ตำแหน่งความสูง และความกว้างที่เหมาะสมกับชาวเอเชียเป็นอย่างยิ่ง ไม่จิกแฮนด์เข้าไปตรงกลางเหมือนสปอร์ตแน็คเก็ทค่ายอื่นๆ ทำให้ผู้ทดสอบไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวเข้าหามันมากมายนัก หรือเอาจริงๆคือแทบไม่รู้สึกถึงความตงิดใจอะไรเลยสักอย่าง เพราะพอนั่งคร่อมปุ้บจับแฮนด์ปั้บ ทุกอย่างมันพอดีไปหมด ต้องชมเลยว่าทาง Kawasaki ออกแบบในจุดนี้มาได้ดีจริงๆ
ส่วนเบาะนั่งแม้ว่า Kawasaki Z400 มีความสูงเบาะ 785 มม. เท่ากันกับ Z300 เดิม แต่การดีไซน์ให้เบาะที่แคบลงจึงทำให้ผู้ขี่เหยียบได้เต็มเท้ามากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าสะดวกแก่ผู้ที่มีสรีระไม่สูงนัก แถมตัวเบาะหนาขึ้นกว่าเดิม 40 มม. เรียกได้ว่านุ่มก้น นั่งสบายกว่าเดิมถ้าขี่นานๆ ไม่มีปวดเมื่อย ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ให้อารมณ์เดียวกันกับคู่แฝดของมันอย่าง Ninja 400 เป๊ะๆ เพราะครึ่งหลังของมันทั้งสองนั้นคือชุดเดียวกันนั่นเอง
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบตะเกียบคู่หัวกลับ ขนาดแกน 41 มิลลิเมตร ให้ความมั่นคงตอนเบรกและพลิกเลี้ยวสูงมาก เนื่องจากทาง Kawasaki เซ็ทมาค่อนข้างเฟิร์ม รับกับลักษณะการใช้งานของตัวรถได้ดี ขณะที่ตัวระบบเบรกเป็นแบบจานเดี่ยวขนาด 310 มิลลิเมตร ที่ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์เบรก 2 สูบจาก Nissin ให้ความรู้สึกหนึบกำลังดี ไม่ต้องใช้แรงในการกำก้านเบรกมากมายก็สัมผัสได้แล้วว่ามันเอาอยู่ และมีระบบ ABS มาให้แล้วเรียบร้อย ส่วนล้ออัลลอยด์ขอบ 17 นิ้ว ก็รัดด้วยยางไซส์ 110/70-17 จาก Dunlop รุ่น GPR300F
ระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบโมโนช็อคปรับความแข็ง/อ่อนได้ ทำงานร่วมกับชุดกระเดื่องทดแรง Uni-Trak ที่เซ็ทมาค่อนข้างเฟิร์มเหมาะกับการใช้งานทั่วๆไปเช่นกัน (ถ้าจะซัดแรงๆก็อาจจะมีย้วยบ้าง แต่แค่เล็กน้อย) ส่วนจานเบรกหลังมีขนาด 220 มิลลิเมตร แต่ตัวคาลิปเปอร์เป็นแบบ 2 สูบ ซึ่งเป็นชุดเดียวกับด้านหน้า ส่วนชุดล้ออัลลอยด์ก็รัดด้วยยางไซส์ 150/60-17
ด้านน้ำหนักตัวที่เบาลงกว่าเดิมอีก 3 กิโลกรัม เหลือ 167 กิโลกรัม อาจจะดูไม่เยอะเท่าไหร่นัก แต่เมื่อรวมกับพละกำลังสูงสุดที่ขยับขึ้นไปเป็น 45 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดอีก 38 นิวตันเมตร ทำให้ตัวรถมีความคล่องตัวในการเทคตัวออกจากหยุดนิ่ง หรือออกจากทางโค้งขึ้นมาก นอกจากนี้ด้วยฐานล้อที่สั้นลงจึงทำให้พลิกเลี้ยวได้ง่าย ไม่ว่าจะในช่วงความเร็วต่ำแบบสลาลอม หรือความเร็วสูงๆเช่นโค้งตัว S
ตัวเครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบ 2 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำเช่นเดียวกับโฉมก่อนหน้า แต่มีการปรับขยายความจุเพื่มเป็น 399cc ทำให้กำลังสูงสุดขยับขึ้นไปเป็น 45 แรงม้าในหน่วย PS ที่ 10,000 รอบนาที กับแรงบิดอีก 38 นิวตันเมตรที่ 8,000 รอบ/นาที ที่แม้จะเป็นแทร็คสั้นๆไม่ได้มีทางตรงให้เทคตัวมากมายนัก แต่อย่างน้อยก็พอให้เราเค้นความเร็วจนถึงเกียร์ 4 นิดๆได้ ซึ่งเราพบว่าด้วยขนาดความจุเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก 103cc ของมันเมื่อเทียบกับโฉมเก่าอย่าง Z300 ช่วยทำให้ย่านกำลังของมันกว้างขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่ามีเรี่ยวแรงให้เรียกตั้งแต่ช่วงรอบกลางมากขึ้นต่อเนื่องยาวไปจนถึงเรดไลน์ที่ล็อคไว้คือ 12,000 รอบ/นาที ตามมาตรวัด
นอกจากนี้ทาง Kawasaki ยังได้ทำการติดตั้งระบบ Assist & Slipper Clutch มาให้ซึ่งนอกจากมันจะช่วยลดการกระชาก หรือ ล็อคของล้อหลังได้อย่างอยู่หมัดแล้ว มันยังลดแรงที่ต้องใช้ในการกำก้านคลัทช์ได้อีกพอสมควร ซึ่งเอาจริงๆแล้วทางค่ายได้ใจป้ำให้ระบบนี้มาตั้งแต่รุ่น Z300 โฉมก่อนหน้าแล้ว
สรุปเบื้องต้น รีวิว Kawasaki Z400 ใหม่ แบบ 1st Impression ครั้งนี้ ทำให้เรารับรู้ได้ว่าตัวรถเบาช่วยให้การควบคุมรถดีขึ้น ให้ความรู้สึกมั่นใจ และคล่องมากกว่าโฉมก่อนอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นขุมพลังแรงกว่าเดิมชัดเจน มีแรงบิดให้เรียกใช้ตั้งแต่รอบต้น-กลาง เรียกได้ว่าเหมาะกับการใช้งานในเมืองอย่างมาก ด้วยสัดส่วนตัวรถ และน้ำหนักที่เบาแทบจะที่สุดในคลาสเดียวกัน
หรือถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากลองใช้เจ้า Z400 คันนี้ไปกับการเดินทางระยะไกล ถ้าไม่ติดเรื่องแรงลมปะทะตอนความเร็วสูงๆที่มักเกิดขึ้นตามลักษณะทางกายภาพของรถมอเตอร์ไซค์ประเภทนี้ ก็หายห่วงได้เลยครับ เพราะท่านั่งของมันนั้นเข้ากับสรีระของคนไทยอย่างเราสุดๆ แถมระบบกันสะเทือนที่ติดรถมาก็ช่วงสร้างความมั่นใจได้ดี ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ประเภทสปอร์ต-แน็คเก็ทไบค์ ช่วง 300-500cc
โดยสำหรับ Kawasaki Z400 ในไทยนั้น จะมีวางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นย่อยด้วยกัน แบ่งเป็นรุ่นธรรมดา ราคา 186,000 บาท กับรุ่น SE หรือ Special Edition ที่จะมาพร้อมกับของแต่งเสริมอีกหลายรายการทั้ง ชุดชิลด์หน้าทรงสูง, ไฟเลี้ยว LED หน้า/หลัง, กันลื่นข้างถังน้ำมัน, การ์ดหม้อน้ำ, กันล้ม, และอกล่าง ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อตามความชอบอีกด้วย
อย่างไรก็ดี หากมีโอกาสทางทีมงาน MotoRival จะขอมาอัพเดทฟูลรีวิวของ เจ้า Kawasaki Z400 กันอีกครั้งในหน้า ยังไงก็รอติดตามกันได้เลยครับผม
– ภณ เพียรทนงกิจ Test Rider + Photo
– รณกฤต ลิมปิชาติ Test Rider + Writer
– สุภิญญา ชำนาญกุล Photo + VDO และภาพบางส่วนจาก Kawasaki Motor Enterprise
ขอขอบคุณ Kawasaki Motor Enterprise
อ่านข่าว รีวิว เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ