รีวิว Royal Enfield Scram 411 ทดสอบแบบขี่ 1Day Trip กทม-นครปฐม
รีวิว Royal Enfield Scram 411 หลังจากที่ เปิดตัวครั้งแรกในไทย ไปเมื่อ TIME2022 ปลายปีที่ผ่านมา ในวันนี้ทางทีมงาน MotoRival เราได้รับเกียรติเชิญมาร่วมทดสอบ Scram 411 แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าที่จริง เราได้เคยแอบลองไปก่อนในสนาม พีระคาร์ท ในการทดสอบคัดเลือก Bike of The Year 2023 เมื่อปลายปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ต้องเรียนกันตามตรงว่าดูจะไม่ได้สาระใจความอะไรมากนัก
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทาง Royal Enfield ก็ได้เชิญทางสื่อร่วมทดสอบ Scram 411 กันอย่างเป็นทางการ แบบ 1 Day Trip โดยทีมงาน MotoRival เราได้เดินทางขากลับจาก นครปฐม ฝ่ารถติดกลับเข้ามาใจกลางเมือง กทม. ช่วงเย็นวันทำงาน ระยะทางประมาณ 82 กม.
สำหรับรายละเอียดตัวรถนั้น รูปลักษณ์ตัวถัง ก็ต้องบอกว่าดูคล้ายกับตัว Himalayan แต่ได้ปรับให้มันดูมีความเป็นโมเดิร์นขึ้น
มีพลาสติกแฟริ่งข้างถังน้ำมันเพิ่มมา ทำให้รถดูมีมิติมากยิ่งกว่าเดิม
จุดที่เพิ่มเติม คือ Royal Enfield Scram 411 คันนี้ ใช้มาตรวัดแบบกึ่งอนาล็อค-ดิจิตอล ในแบบของตัว Hunter 350
ด้วยความที่มันปรับปรุงจากร่าง Adventure ลงมาเหลือ Scrambler ทำให้ Ground Clearance มัน จึงลดลงเล็กน้อย จาก 220->200 มม.
เบาะก็เตี้ยลงนิดหน่อยอยู่ที่ 795 มม. จาก 800 มม.
ด้าน นน. ตัวของมันก็ลดลงเล็กน้อย ราวๆ 6.5 กก. เหลือ 183.5 กก.
มาที่ภาพรวมในการขี่ เริ่มที่ท่านั่ง
ผมสูง 175 ซม. กับความสูงเบาะประมาณ 800 มม. ยังพอเหยียบลงได้เต็มเท้ามีระยะหย่อนเข่าได้นิดหน่อย ดูมั่นใจกว่า ร่าง ADV เพราะไซส์ล้อที่เล็กลง 2 นิ้วทางด้านหน้า
แต่รู้สึกว่าพอเทียบกับช่วงตำแหน่งแฮนด์ของมันแล้ว เบาะแอบดูจมๆ ไปหน่อย เลยรู้สึกไหล่ยกนิดๆ
ขี่นานๆ ท่านี้ อาจปวดช่วงสะบักไหล่นิดๆ แต่ ก็เข้าใจได้ เพราะเผื่อเวลาเรายืนขึ้นขี่ทาง Offroad ก็จะพอช่วยให้การคอนโทรลทำได้เหมาะสมขึ้น
และแม้ Clearance จะลดลง 20 มม. แต่ กับการขี่บนท้องถนนใช้งานทั่วไป หรือ พอเอาไปลุยทาง Enduro แบบ ย่อมๆ ก็ยังไม่เป็นอุปสรรค เพราะระดับ 200 มม. ก็ถือว่าผ่านอุปสรรคได้สบายๆ
ส่วนน้ำหนักตัวที่เบาลงจาก Himalayan พอควร ทำให้รู้สึกว่าคอนโทรลรถได้ดี เวลารถติดๆ มุดบิด โยกหลบได้ง่าย เพราะ ช่วงตัวแคบไม่กว้าง และแฮนด์ที่สูงเลยรถยนต์เก๋งทั่วๆ ไป
แต่แฮนด์และกระจกของมันก็จะสูงพอๆ กับรถยนต์ขนาดใหญ่ อย่าง SUV หรือ พวกกระบะยกสูง ซึ่งก็ ต้องอาศัยโยกบิดตัวตามที่บอกไป
ขุมกำลัง 411cc สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ มี Oil Cooler จาก Himalayan ให้กำลัง 24.3 PS@6,500rpm และกับแรงบิดสูงสุด 32Nm@4,250rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์ 5 Speed เช่นเดิม
ด้วยความที่เป็นเครื่องสูบเดียว หม้อลม แน่นอนว่าไม่ควรเอาไปเปรียบเทียบกับรถ Sport Entry ช่วง 250-300 ที่เป็นหม้อน้ำ เรื่องความจี๊ดจ๊าด อัตราเร่งสู้ไม่ได้ แต่ Scram 411 ก็มีทอร์ค มาให้เรียกใช้แบบเรื่อยๆ ช่วง ต้น-กลาง กับการใช้งานในเมืองไม่ได้ขี่เหร่ แต่พอขี่ความเร็วสูง ก็ต้องเรียนตามตรงว่า ตามกำลังของมันวิ่งได้ ช่วงประมาณ 120 กม./ชม.+ ประมาณนี้ จะเริ่มมีอาการสั่น และตื้อมือขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ผมแนะนำว่าถ้าเราขี่เดินทางควรใช้ช่วงความเร็วประมาณ 110-120 กม./ชม. น่าจะพอดีๆ
ขณะที่ความร้อนในวันที่เราขี่เดินทางรถติดๆ แต่ ช่วงต้นปีอากาศไม่ร้อนมาก ก็ยังถือว่าอุ่นๆ สบายๆ ไม่ได้รู้สึกไอร้อนมากจนทรมานขา
ระบบกันสะเทือน โช้กหน้าตะเกียบคู่หัวตั้ง ด้านหลังโช้กเดี่ยวทำงานร่วมกับสวิงอาร์มเหล็กแขนคู่
ในด้านของการซับแรงสะเทือน ก็ต้องถือว่าช่วงล่างที่มีระยะยุบตัวได้เยอะ กับการขี่บนถนนเมืองไทยที่เป็นหลุมโลกพระจันทร์ มันซับแรงได้ดี และเหมาะสม
อย่างไรก็ดี ตอนที่เราได้ไปขี่ Enduro ต้องเรียกว่าเป็น Soft Enduro แบบย่อมๆ ก็ถือว่าทำได้ดี ไม่ได้เน้นกระแทก หรือ Jump อะไรรุนแรง ค่อยๆ ขี่ไต่ปีนป่าย ข้ามเนิน ก็ทำได้สบายๆ
ผมขี่ 82 กม. ไม่รู้สึกปวดเมื่อยหลัง และก้น เพราะเบาะถือว่านุ่มใช้ได้ และช่วงล่างหลังไม่ได้มีอาการให้รู้สึกว่าแข็งดีด
นอกจากนั้นชุดล้อของมันที่มีความแตกต่าง จาก Himalayan เลย คือล้อหน้า Himalayan ให้ 21″ Scram เหลือ 19″ ขณะที่ด้านหลัง ยังคงไซส์ 17″ เท่ากัน
จุดนี้อาจทำให้ความคล่องแคล่วพลิกรถ อาจจะไม่ไวเท่า Himalayan แต่สำหรับผมก็ถือว่ามันพอเหมาะแล้ว คือ ไม่ไวจนหน้าเบาเหวอ แต่ยังถือว่าให้ความคล่องตัวได้ดีพอประมาณ
ระบบเบรก
จานดิสก์เดี่ยว ด้านหน้า 300 มม. ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์ 2 pot
ด้านหลัง ขนาด 240 มม. ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์ 1 pot (bybre) มาพร้อม ABS Dual Channel
ก็ต้องบอกว่า ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจาก Himalayan และ รถ ADV Entry Class แบรนด์อื่นที่ใช้ระบบเบรกจาก bybre
คือ มันชะลอความเร็วได้ดีเมื่อเทียบกับไซส์รถ และพละกำลังรถที่มี แน่นนอนว่า มันไม่ได้รู้สึกถึงน้ำหนักเบรกที่หนักแน่น แต่ก็ถือว่าพอเพียงกับการขี่ Touring เดินทางทั่วๆไป
สรุป รีวิว Royal Enfield Scram 411 กับรถ ที่ต่อยอด DNA Himalayan เอามาทำให้ขี่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ง่ายยิ่งขึ้น คล่องตัวขึ้น ลุยได้เหมือนเดิม
แต่ ที่น่าเสียดาย หลักๆ เลยคือ ขุมกำลังที่ผมรู้สึกว่าเครื่องบล็อกนี้ กำลังดูน้อยไปนิด ถ้าหากจะต้องใช้งานเดินทาง ก็ไม่สามารถขี่ที่ความเร็วสูงๆ กว่า 120kmph แบบ แช่ยาวๆได้
ดังนั้น ถ้าใครอยากได้รถ Lifestyle ที่เน้นตอบโจทย์ในเมืองเป็นหลัก พอลุยไปได้ทุกเส้นทาง และนน.ตัวก็ถือว่า เบาพอๆ กับรถ Sport Entry เจ้า Scram 411 นี้ ก็ถือว่าเป็นรถที่น่าสนใจสำหรับคุณ
ราคา Royal Enfield Scram 411 เริ่มต้น 175,900-179,900 บาท
ผู้สนใจ สามารถติดต่อสอบถามได้ทาง Royal Enfield Praram5
อ่านข่าวสาร Royal Enfield เพิ่มเติมได้ที่นี่