หลังจากที่มีภาพหลุดออกมาตั้งแต่ปลายปีก่อน และก็ถูกนำเสนอข่าวออกมาเรื่อยๆจนถึงช่วงเดือนที่แล้ว ในตอนนี้ All-New Benelli TNT600 ที่หลายๆฝ่ายเคยคาดการณ์กันไว้ ก็ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อย แต่ในฐานะรถมอเตอร์ไซค์ที่ชื่อว่า “QJ SRK600” อย่างที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้ เจ้า SRK600 ก็จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ TNT600 แทบทั้งคันโดยเฉพาะชิ้นส่วนหลักๆอย่างชุดเฟรมแบบโครงเหล็กถัก, ชุดระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบตะเกียบคู่หัวกลับ Marzocchi /ด้านหลังโช้กเดี่ยว Marzocchi วางเยื้องแนวลำตัวรถทำงานร่วมสวิงอาร์มแขนคู่ ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์คู่พร้อมชุดปั๊ม 4 พอร์ท/ด้านหลังดิสก์เดียวพร้อมโฟลทติ้งเมาท์คาลิปเปอร์ ยกชุดจาก Brembo, และเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 599cc DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำที่ได้รับการปรับปรุงให้ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 4 เรียบร้อย พร้อมทำแรงม้าสูงสุดที่ 85 HP แถมยังมีสลิปเปอร์คลัทช์มาให้ด้วย ส่วนฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจอื่นๆของเจ้า SRK600 คันนี้ก็จะไปอยู่ที่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆที่ถูกเพิ่มเข้ามาให้ ไม่ว่าจะเป็นระบบ ABS Dual-Channel จาก BOSCH, ชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT-Full…
Author: admin
ท่ามกลางการประกาศยกเลิกการแข่งขัน MotoGP ระลอกที่ 2 สำหรับแฟนบ้านเราก็ยังคงรอคอยรอลุ้นกันต่อไปว่าแล้วในปี 2020 ศึก ThaiGP ของเราจะยังมีอยู่หรือไม่ท่ามกลางสถานการณ์ที่จัดได้ยากเช่นนี้ ซึ่งล่าสุด Carmelo Ezpeleta บอสใหญ่ของ Dorna ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า “กับการแข่งขันในประเทศไทย, มาเลเซีย, อเมริกา และอาร์เจนติน่า เอาจริงๆเรายังไม่ได้ประกาศยกเลิก, ซึ่งหากเราสามารถจัดแข่งที่นั่นได้ เราคงได้รู้คำตอบกันในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้, หลังจากนั้นนี้แหล่ะเส้นตายที่เราจะบอกกับทุกคนว่าเรื่องมันเป็นมาอย่างไร” “ดังนั้นจึงหมายความว่าหลังผ่านการแข่งไปแล้ว 2 สนาม เราคงจะได้รู้แล้วว่าในปีนี้จะมีการแข่งทั้งหมด 12 เรซ, 14 เรซ, หรือ 16 เรซ” ซึ่ง 14 กับ 16 เรซนั้นหมายถึงมีการเพิ่มสนามแข่งทั้ง 4 ที่ Carmelo ได้กล่าวไว้ในข้างต้นนั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก Speedweek.com อ่านข่าว MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่ เพื่อนๆ Bikers…
ขณะที่การแข่งขันเวที MotoGP ยังไม่มีความแน่นอนในเรื่องปฏิทินวันแข่ง ทางศึก WSBK เองก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เพราะจนตอนนี้เราก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าทางคณะกรรมการจะมีมติกำหนดวันการแข่งขันใหม่ออกมาแต่อย่างใด จนกระทั่งพวกเขาได้ออกมาอัพเดทข้อมูลเรื่องดังกล่าวเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นทาง Carmelo Ezpeleta ที่ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า การแข่งขัน WSBK สนามแรกหลังต้องงดไปพักใหญ่ตั้งแต่การแข่งขันที่ Fillip Island ประเทศออสเตรเลียจบลงเมื่อต้นปีนั้น พวกเขาตั้งใจที่จะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 31 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม ณ สนามเฆเรซ ซึ่งเป็นสัปดาห์ต่อจากการแข่งขันของ MotoGP พอดี หลังจากนั้นแพลนถัดไปของ WSBK ก็คือจะไปจัดที่สนาม Autodromo Internacional do Algarve ในประเทศโปรตุเกส ช่วงวันที่ 7-9 สิงหาคม แล้วก็จะมีการเว้นว่างอีกหนึ่งสัปดาห์เพื่อไปแข่งต่อที่ MotorLand Aragon ประเทศสเปน ในวันที่ 28-30 สิงหาคม อย่างไรก็ดี แม้นี่จะยังเป็นแค่แผนการจัดแข่งขันแบบคร่าวๆ…
เรียกได้ว่ามีกระแสตอบรับค่อนข้างดีเลยทีเดียวสำหรับการเปิดตัว Honda CT125 เมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่เพื่อนๆทราบหรือไม่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รถมอเตอร์ไซค์ตระกูล Honda CT ได้ถือกำเนิดขึ้น เพราะต้นตระกูลของมันนั้นได้ถูกเปิดตัวเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 1964 นู่นแล้วในชื่อ Honda CT200 สำหรับข้อมูลในเบื้องต้นของ Honda CT200 “Trail 90” นั้นก็มีอยู่ว่า มันคือรถมอเตอร์ไซค์ขาลุยที่ถูกดัดแปลงมาจากรถแม่บ้านในตำนานอย่าง C90 โดยจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือการถอดเองชุดบังลมหน้าขนาดใหญ่ทิ้งไป แล้วเสริมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนบางอย่างเข้าไปเพื่อให้ตัวรถเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องบุกป่าฝ่าดงมากยิ่งขึ้น เช่นการเสริมท่อเหล็กกับการ์ดแครงก์ล่างเพื่อป้องกันหินกระแทกเครื่องยนต์กับฝาสูบ, เดินแนวท่อไอเสียจากออกล่างขนานไปตามแนวท้องรถ ให้เป็นแบบยกสูงแล้วลากยาวในระนาบเดียวกับแนวใต้เบาะและตะแกรงหลังแทน, เปลี่ยนสเตอร์หลังเบอร์ใหญ่ขึ้นเพื่อทดรอบ (จริงๆคือมีสเตอร์หลัง 2 อัน), และเปลี่ยนยางหนามไว้ตะกรุยดินโดยเฉพาะ ส่วนรายละเอียดในเรื่องเครื่องยนต์ไม่สามารถหาข้อมุลได้ว่าทางวิศวกรได้มีการปรับจูนชิ้นส่วนภายในให้ต่างจากร่างต้นของมันหรือไม่ แต่แนวทางการตกแต่งส่วนใหญ่ที่ว่ามานี้ก็ล้วนถูกนำมาใช้ในการออกแบบเจ้าน้องใหม่ล่าสุดของตระกูล CT อย่าง Honda CT125 แทบทั้งสิ้น อย่งไรก็ดี อันที่จริง CT200 ไม่ใช่รถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกที่เป็นต้นกำเนิดแนวคิดนี้ เพราะก่อนหน้านี้ทาง Honda ได้เริ่มทำโปรเจ็กท์แนวนี้มาแล้ว 2 เจเนอเรชันด้วยกัน นั่นก็คือ…
ย้อนไปเมื่อปี 2004 ทาง Honda ได้เคยนำเจ้า Monkey 50 มาตกแต่งในธีม Freddie Spencer เพื่อย้อนตำนานของอีกหนึ่งนักบิดคนสำคัญของตนที่สามารถพาตัวแข่งของตนเองคว้าแชมป์โลกศึก World GrandPrix ได้ตอนปี 1985 และในปีนี้พวกเขาก็ได้นำธีมการตกแต่งรูปแบบดังกล่าวกลับมาอีกครั้งบนตัว Monkey 125 ที่เพื่อนๆเห็นกันอยู่ตอนนี้ โดยตัวรถ Monkey 125 – Spencer Edition รุ่นนี้ จะมาพร้อมกับจุดเด่นหลักๆเลยก็คือชุดสีของมัน ที่ถูกตกแต่งด้วยสีเทาเป็นสีพื้น คาดด้วยแถบสติ๊กเกอร์สีดำ/น้ำเงิน ซึ่งอันที่จริงมันก็คือลายเดียวกันกับ 1982 Honda CB750F ที่ Spencer ใช้สร้างชื่อให้กับตนตอนยังแข่งอยู่ในเวที AMA Superbike ซึ่งเป็นเวทีการแข่งขันรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วจึงเสริมความพิเศษให้เจ้าลิง 125 คันนี้อีกนิดด้วย ชุดโช้กคู่หลังจาก Nitron กับ ชุดท่อไอเสีย Yoshimura สีดำ เพื่อความดุดัน และทำให้มันมีกลิ่นอายที่คล้ายตัวแข่งต้นแบบมากที่สุด…
นอกจากการทำรถมอเตอร์ไซค์ที่มีดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว แต่เพื่อนๆทราบกันหรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว Ducati เองก็มีโปรเจ็กท์ทำรถจักรยานต์ไฟฟ้าขายเพื่อตอบโจทย์นักปั่นทั้งหลายด้วย โดยมีทั้ง Ducati MIG-RR, Ducati MIG-S, และ Ducati E-Scrambler เริ่มจากคันแรก Ducati MIG-RR จักรยานไฟฟ้าสายไต่เขาที่มีสเปคดีพอจะเอาไว้ใช้แข่งขันได้เลย เพราะชุดเฟรมของมันนั้นจะเป็นงาน CNC จากอลูมินัมเกรด 6061 มาพร้อมระบบกันสะเทือนแบบโช้กตะเกียบคู่ด้านหน้าช่วงยุบ 170 มิลลิเมตร และโช้กเดี่ยวด้านหลังระยะยุบ 160 มิลลิเมตร ซึ่งตัวโช้กที่ว่าจะเป็นของ FOX ที่สั่งสเปคผลิตขึ้นมาเพื่อเจ้านี่โดยเฉพาะ นอกนั้นระบบเบรกก็เป็นแบบดิสก์เบรกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กับระบบเกียร์ XT 11 สปีด ซึ่งล้วนเป็นของจากแบรนด์ดังอย่าง Shimano ทั้งสิ้น ขณะที่ชุดแบตเตอร์รี่กับมอเตอร์ไฟฟ้าเองก็เป็น Shimano E8000 ที่สามารถปรับโหมดการใช้งานได้ถึง 3 รูปแบบได้แก่ Trail, Boost, และ Power-Walk เรียบได้ว่าตอบโจทย์ทุกการใช้งานจริงๆ แต่ราคาก็สูงหน่อยๆเพราะถูกตั้งเอาไว้ที่ 6,250…
จะผ่านไปกี่ปี MV Agusta ก็ยังขึ้นชื่ออยู่เสมอในเรื่องการออกโมเดลลิมิเต็ดอิดิชัน ซึ่งเจ้า MV Agusta Brutale 1000 RR ML คันนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมมันยังผลิตด้วยจำนวนที่จำกัดมากๆจนคนทั่วไปคงไม่มีวันได้เห็นง่ายๆอีกด้วย ! โดยสำหรับเจ้า Brutale 1000 RR – “ML Edition” คันนี้ ก็จะมีความพิเศษที่แตกต่างจาก Brutale 1000 RR ตรงที่ชุดสึ ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นสีน้ำเงิน/ขาว ตัดกับสีเงิน แล้วแซมด้วยสีทองเพื่อความหรูหรามากขึ้นบริเวณชุดเฟรมกลาง, สวิงอาร์ม และชุดล้ออลูมิเนียมฟอร์จ (แต่ถ้าสังเกตให้ดี ตรงก้านล้อจะมีการทำสีดำเป็นเส้นเล็กๆตรงกลางเพื่อทำให้ล้อดูมีมิติมากขึ้นอีกนิดด้วย) นอกนั้นในด้านชิ้นส่วนบอดี้พาร์ท รวมถึงชิ้นส่วนหลักอื่นๆก็ล้วนเหมือนกันกับ Brutale 1000 RR โฉมปกติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ชุดระบบไฟส่องสว่างรอบคัน, ชิ้นแฟริ่งกาบข้างแบบมีวิงเล็ท, ระบบกันสะเทือนหน้า/หลัง Ohlins, ระบบเบรก Brembo, รวมถึงเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง…
Harley-Davidson ประกาศราคาใหม่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์รุ่นปี 2020 ในตระกูลยอดนิยมอย่าง สปอร์ตสเตอร์ 1200 (Sportster™1200), ซอฟเทล (Softail™) และ ทัวร์ริ่ง (Touring) เพื่อตอบสนองเหล่าบรรดาผู้ขับขี่ชาวไทยให้ได้เป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ในราคาใหม่เริ่มต้นเพียง 572,500 บาท สำหรับรุ่นสปอร์ตสเตอร์ ไอรอน 1200 (Sportster Iron 1200™) โดยฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่ที่กำลังมองหารถมอเตอร์ไซค์ในฝัน สามารถเป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ สำหรับรุ่นปี 2020 กับราคาใหม่ ได้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน เป็นต้นไป ผ่าน 11 ผู้จำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน อย่างเป็นทางการ โดยการประกาศราคาใหม่ในครั้งนี้ เป็นความตั้งใจของบริษัทที่ต้องการทำให้ผู้ขับขี่รุ่นใหม่สามารถเข้าถึงประสบการณ์การขับขี่มอเตอร์ไซค์มากขึ้น “สำหรับ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดที่ใหญ่และเติบโตมาอย่างยาวนานในเอเชีย เราจึงหวังว่าการประกาศราคาใหม่ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นของเรา จะเป็นผลดีต่อตลาดและเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับเหล่าลูกค้าที่อยากเป็นเจ้าของและขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ได้มีโอกาสที่จะเข้าถึงและครอบครองได้เร็วยิ่งขึ้น” นาย ซาจีฟ รัชเกคาราน กรรมการผู้จัดการ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและอินเดีย…
อย่างที่เพื่อนๆทราบกันว่าในประเทศจีนนั้น นอกจากจะมีผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ระดับโลกที่เรารู้จักกันดีเข้าไปบุกตลาดของพวกเขาแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากผู้ผลิตสัญชาติบ้านเกิดเองอีกหลายคันที่พร้อมจะชิงส่วนแบ่งในตลาดอีกมากมาย ซึ่งเจ้า Taro GP1-250R ที่พึ่งได้รับการปรับโฉมปี 2020 คันนี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย โดยสำหรับข้อมูลคร่าวๆของ Taro GP1-250R ที่น่าสนใจนั้นก็จะมีทั้งชุดดีไซน์แฟริ่งรอบคันที่ดูมีความโฉบเฉี่ยวและทันสมัยสุดๆ โดยเฉพาะกับไฟหน้าแบบ LED โคมคู่ พร้อมแถบไฟ DRL และโคมไฟ LED ตรงกลางอีกดวงที่วางตำแหน่งไว้ด้านบนของปากท่อ Ram-Air (หลอก), ชุดเฟรมโครงเหล็กถัก, ชุดระบบกันสะเทือนด้านหนัาแบบโช้กตะเกียบคู่หัวกลับ และด้านหลังแบบโช้กเดี่ยวทำงานร่วมสวิงอาร์มเหล็กกล่อง, กับชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ TFT ด้านขุมกำลังหลักของมัน ก็เป็นแบบ 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ พิกัดจริง 249.5cc ที่ดูผิวเผินแล้วก็เหมือนจะดี แต่ติดตรงกำลังสูงสุดของมัน กลับสามารถทำได้แค่เพียง 17 PS ที่ 8,500 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุดอีก 16.5 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที…
ย้อนไปช่วงปี Y2K ทางค่ายอินดี้จากอิตาลีได้มีการเปิดตัว Bimota SB8R ออกมา ซึ่งในขณะนั้นนอกจากดีไซน์ของมันจะทำให้ตัวรถดูพิเศษกว่าใครแล้ว จำนวนการผลิตที่มีเพียง 150 บนโลก ก็ยิ่งทำให้มันพิเศษขึ้นไปอีก ซึ่งในตอนนี้ก็มี 1 ในนั้นที่ถูกประกาศขายบนโลกออนไลน์ให้นักสะสมได้ซื้อหากันเป็นที่เรียบร้อย สำหรับจุดเด่นหลักๆของ SB8R ก็จะอยู่ที่งานดีไซน์ของมันนั้นล้วนมีจุดประสงค์ที่ตั้งใจทำให้มันคืออาวุธสังหารในสนามแข่งทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดเฟรมอลูมิเนียมเสริมแกร่งด้วยแผ่นคาร์บอน, ซับเฟรมคาร์บอน, และชุดแฟริ่งคาร์บอนทั้งคัน, ชุดสวิงอาร์มอลูมิเนียมขนาดใหญ่, ชุดท่อแรมแอร์ชนาดใหญ่ข้างวินชิลด์, ระบบกันสะเทือนหัวกลับด้านหน้า/โช้กเดี่ยวด้านหลังปรับเซ็ทได้ทุกค่า, และระบบเบรกหน้า/หลังจาก Brembo กับท่อไอเสียแบบเดินออกใต้ไฟท้ายตามสมัยนิยม (ในยุคนั้น) นอกจากนี้ หากเพื่อนๆสังเกตุให้ดีก็จะพบว่าไฟหน้าและถังน้ำมันของมันนั้น มีความคล้ายคลึงกับ Suzuki TL1000 ซึ่งนั่นก็เพราะว่าเจ้า SB8R คันนี้ หยิบยืมเอาหัวใจของโร้ดสเตอร์สปอร์ตคันนี้ ดังนั้นขุมกำลังของมันจึงเป็นแบบ V-Twin 90 องศา ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดความจุ 996cc ที่สามารถทำแรงม้าได้สูงถึง 133 HP ที่ 9,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดอีก…