Kawasaki ค่ายรถมอเตอร์ไซค์สายเขียวจากญี่ปุ่น ที่ดูเหมือนว่ากระแสของค่ายรถรายนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะดูเงียบลงไปพอสมควร เนื่องจากรถรุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมาได้ไม่ปัง ซ้ำด้วยกระแสของตลาดรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ต ซึ่งเป็นแนวถนัดของค่ายที่หดตัว เพราะผู้ใช้รถคลาสเริ่มต้นในระดับ 250-400 ซีซี ส่วนใหญ่หันไปใช้รถแนว Big Scooter ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่ากันหมด ถ้าพวกเขาไม่รีบแก้ปัญหานี้ในอนาคตอันใกล้ ก็อาจจะทำให้ช่องว่างกับค่ายร่วมชาติอย่าง Honda และ Yamaha หรือแม้แต่ Suzuki ยิ่งห่างกันเข้าไปอีก ซึ่งล่าสุดทางสื่อออนไลน์จากอินโดนีเซียอย่าง Iwanbanaran ก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารของ Kawasaki Motor Indonesia จนได้รับข้อมูลที่น่าสนใจว่า “เราคิดว่าตอนนี้มันช้าไปแล้วที่จะลงเล่นในตลาดของรถออโตเมติก เพราะคู่แข่งอย่าง Honda และ Yamaha นั้นแข็งแกร่งในตลาดนี้เป็นอย่างมาก” “แต่ก็มีข้อยกเว้นในตลาดของบิ้กสกู๊ตเตอร์ และใช่ครับ เรากำลังพิจารณาทำรถบิ้กสกู๊ตเตอร์” Michael C. Tanadhi ผู้บริหารฝ่ายขายของค่ายเขียวกล่าว และเมื่อถูกถามว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นรถในตระกูล J series ที่มีขายในตลาดยุโรป ทางผู้บริหารการได้ตอบว่า “มันอาจจะเป็นรถที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ หรือจะเป็นรถที่นำเข้ามาก็ได้ แต่ราคาของรถก็จะแพงมากถ้าเป็นการนำเข้า(แม้แต่ตลาดประเทศไทย)…
Author: Kristha
การปรับกติกาใหม่สำหรับการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2027 นอกจากจะทำขึ้นเพื่อความปลอดภัย และความสนุกในการแข่งขันแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือการทำเพื่อดึงดูดค่ายรถรายใหม่ให้มาร่วมเวทีนี้มากขึ้น โดยการควบคุมงบประมาณ และลดช่องว่างความต่างระหว่างค่ายรถที่มีเทคโนโลยีและเงินทุนไม่เท่ากัน และดูเหมือนว่าการปรับกติกาในครั้งนี้จะแสดงผลตั้งแต่ยังไม่ถูกบังคับใช้แล้ว Carmelo Ezpeleta ผู้บริหารของ Dorna Sport ได้ให้ข้อมูลกว่า “มีค่ายรถหลายรายเข้ามาติดต่อเรา แน่นอนว่าทุกคนรอดูกติกาใหม่แบบละเอียดกัน เรามีความสุขมากที่มีค่ายผู้ผลิตถึง 5 รายที่ลงแข่งขันในรายการของเรา และใช่ครับ มีผู้ผลิตรายอื่นสนใจลงแข่งเพิ่มในอนาคต แต่แน่นอนว่าชื่อของพวกเขายังเป็นความลับอยู่” “เราพยายามอย่างเต็มที่ในการทำให้การแข่งขัน เป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับค่ายผู้ผลิตที่แข่งอยู่ในตอนนี้(ทำให้การแข่งขันคุ้มค่า เพื่อไม่ให้ผู้ผลิตถอนตัวแบบ Suzuki) รวมถึงพยายามที่จะดึงดูดผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาในอนาคต เพราะพวกเขาจะทำให้ MotoGP ดีขึ้นไปอีกในอนาคต” Carmelo Ezpeleta เสริมด้วยว่า “มีการพูดถึงเรื่องการจำกัดจำนวนรถต่อค่ายผู้ผลิต แต่เราก็มีเหตุผลที่ปล่อยให้ค่ายรถบางรายมีรถมากกว่าคนอื่น เพราะนั่นจะทำให้ค่ายผู้ผลิตสร้างข้อเสนอที่ดีที่สุดเพื่อดึงดูดทีมอิสระ” เพราะถ้ามีการล็อคจำนวนรถในแต่ละค่าย ทีมอิสระอาจจะต้องแย่งชิงรถจากผู้ผลิตบางเจ้า ซึ่งส่งผลเสียด้านการเงินกับทีมอิสระ และจะส่งผลเสียกับจำนวนทีมที่ลงแข่งในเวลาต่อมา ที่มา crash อ่านข่าวสาร MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่
หลังจากการประกาศกติกาใหม่ของ MotoGP ที่จะบังคับใช้ในปี 2027 ก็ดูเหมือนว่าหลายฝ่ายจะเห็นด้วยกับกติกาที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการลดความจุเครื่องยนต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดพละกำลังของรถลง เนื่องจากสนามแข่งในปัจจุบันไม่สามารถรองรับรถแข่งยุคใหม่ที่เร็วในแบบที่ไม่เคยพบมาก่อนได้ แต่ถึงอย่างนั้นบอสของ Ducati อย่าง Gigi Dall’Igna กลับมองว่ามีบางเรื่องที่ควรได้รับการพัฒนามากกว่านี้ “ผมคาดหวังที่จะเห็นการนำระบบไฮบริดมาใช้” Gigi Dall’Igna กล่าว “มันก็เข้าใจได้ว่าการจำกัดงบการพัฒนารถเป็นเรื่องสำคัญ เพราะระบบไฮบริดมันแพง นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้ แต่มันก็น่าจะแก้ปัญหาได้ด้วยการหาผู้ผลิตระบบไฮบริดกลางมาใช้” “ผมคิดว่ามันงี่เง่ามากที่เราจะทิ้งพลังงานจากการเบรกให้เสียเปล่า รถในอนาคตอีก 20-30 ปี อาจจะไม่มีระบบเบรกแบบปกติด้วยซ้ำ เพราะทุกคนจะพัฒนาเพื่อหาประสิทธิภาพสูงสุด เราอาจจะใส่ระบบไฮบริดลงในรถแข่งสักเล็กน้อย เช่นการติดตั้งระบบ Kinetic energy recovery system เพื่อเอาพลังงานมาเสริมแรงในทางตรง” ทางด้านวิศวกรคู่แข่งอย่าง Fabio Steracchini จากทีม KTM นั้นก็เห็นด้วยกับการปรับกติกาใหม่ในภาพรวมเช่นเดียวกัน แต่เขากลับเห็นต่างในเรื่องของระบบไฮบริด “มันมีการคุยกันเรื่องการใช้ระบบไฮบริด แต่เราต้องรักษาสมดุลของงบประมาณและความซับซ้อน เทคโนโลยีเหล่านั้นควรจะต้องสามารถถูกส่งต่อมาที่รถถนนได้ แต่รถถนนยังไม่พร้อมรับมัน” “ในฝั่งของ Formula 1 พวกเขาต้องก่อตั้งแผนกนึงขึ้นมาเพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ…
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาค่ายปีกนก Honda ได้ทำการเปิดตัวระบบ E-Clutch หรือคลัทช์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ทำให้ผู้ใช้รถไม่จำเป็นต้องกำคลัทช์ขณะขับขี่อีกต่อไป แต่คำถามที่เราพบได้บ่อยคือ “E-Clutch มีความแตกต่างจากระบบคลัทช์หลอกของ Yamaha Belle R ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ 30 ปี ที่แล้วตรงไหน?” วันนี้เราจะมาอธิบายในแบบที่เข้าใจง่ายกัน เริ่มกันที่ในมุมของผู้ใช้รถ เราก็บอกได้เลยว่าทั้งสองระบบนั้นมีรูปแบบการใช้งานพื้นฐานที่เหมือนกัน คือผู้ใช้สามารถขับขี่รถตั้งแต่ออกตัว จอดติดไฟแดง เปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง ได้โดยไม่ต้องแตะก้านคลัทช์ที่มือซ้ายเลย แต่เราก็สามารถเลือกใช้ได้ในกรณีที่อยากเร่งเครื่องยนต์เล่นเอาสนุก หรือทำอะไรก็ตามที่จำเป็นต้องใช้คลัทช์ร่วมด้วย แต่นั่นคือจุดสิ้นสุดของความเหมือน เพราะทั้งสองระบบนั้นมีการทำงานเบื้องหลังที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยในฝั่งของระบบ Honda E-Clutch นั้นจะเป็นการใช้ระบบไฟฟ้าเข้ามาควบคุมการทำงานชุดคลัทช์แบบปกติของรถ ซึ่งสมองกลจะทำหน้าที่อ่านรอบเครื่องยนต์ ความเร็ว และจังหวะการตบเกียร์ของเรา เพื่อควบคุมการจับและปล่อยคลัทช์ที่เหมาะสมและเรียบเนียน แต่เรายังมีก้านคลัทช์ตามปกติที่สามารถ Bypass การทำงานของคลัทช์ไฟฟ้าได้เมื่อต้องการ แต่ในฝั่งของคลัทช์หลอกของ Yamaha Belle R ระบบคลัทช์หลักที่ติดตั้งอยู่กับตัวรถยังคงเป็น คลัทช์แบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ หรือ Centrifugal Clutch ที่มีใช้ในรถบ้านแบบมีเกียร์ไม่มีคลัทช์ตามปกติ โดยคลัทช์แบบนี้จะจับตัวกันแน่นเมื่อเครื่องยนต์หมุนเร็วมากพอ และจะปล่อยเมื่อเครื่องยนต์หมุนช้า…
2025 Yamaha Nmax 155 รถมอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์รุ่นใหม่จากค่ายส้อมเสียง Yamaha ที่หลายคนรอให้มันเปิดตัวมานานนับปี ถึงแม้จะมีข้อมูลยิบย่อยหลุดมาให้เราได้ยินหลายรอบ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จนครั้งนี้เราก็มีภาพหลุดของโคมไฟหน้าชุดใหม่ของรถรุ่นนี้หลุดออกมาให้เราเห็น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากรถ Superbike รุ่นพี่อย่าง Yamaha YZF-R1 โดยภาพหลุดของชุดไฟหน้าใหม่ที่ว่านี้ ก็มาจากสื่อจากอินโดนีเซียที่อ้างว่ามีแหล่งข้อมูลอยู่ใน Yamaha เนื่องจากรถรุ่นนี้เป็นรถที่พัฒนาและผลิตในอินโดนีเซีย ซึ่งทุกคนสามารถกดเข้าไปดูได้ในคลิปที่เราแปะเอาไว้ด้านบน (นาทีที่ 14 เป็นต้นไป) จากภาพจะเห็นได้ว่าโคมไฟหน้าแบบใหม่นี้ มีงานออกแบบที่แหวกแนวออกไปจากโคมไฟหน้าชุดเดิมอย่างเห็นได้ชัด จนเรียกได้ว่ามีความใกล้เคียงกับงานออกแบบของโคมไฟหน้ารถในตระกูล R series หรือ MT series มากกว่างานออกแบบของรถในตระกูล Max series ด้วยซ้ำ เมื่อดูในรายละเอียดจะสังเกตเห็นว่าโคมไฟหน้าจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือแถบไฟเส้นบางที่ด้านบน ที่จะแบ่งแยกด้านซ้ายและขวาออกจากกัน ในจุดนี้เราคาดว่าจะเป็นไฟ DRL เช่นเดียวกับไฟ DRL ของ YZF-R1 แต่จะมีส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือแถบไฟเส้นบางที่สั่นกว่าด้านล่าง ตรงนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะทำหน้าที่เป็นไฟเลี้ยว LED ไปในตัว…
MotoGP เตรียมปรับกติกาใหม่สำหรับการแข่งขันในฤดูกาล 2027 ที่จะมีการบังคับให้รถแข่งทุกคนต้องใช้เชื้อเพลิงแบบยั่งยืน ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 100% จากเดิมที่ปัจจุบันจะใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวแค่ 40% แต่ทุกคนรู้กันหรือไม่ว่า “เชื้อเพลิงแบบยั่งยืน” ที่ว่านี้คืออะไร? ทำไมต้องเปลี่ยนไปใช้? แล้วมันจะส่งผลกับคนทั่วไปที่ใช้รถบนถนนแบบเราอย่างไรบ้าง? เหตุผลที่ทำให้รายการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต้องเปลี่ยนชนิดของเชื้อเพลิง ก็เป็นผลมาจากปัญหาด้านสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทั้งอากาศที่ร้อนแบบสุดขั้ว หรือสภาพอากาศแปรปรวน เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มมากขึ้นในชั้นบรรยากาศ ทางผู้จัดเลยต้องการที่จะลดการปล่อยมลพิษจากการแข่งขัน MotoGP โดยการเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า แน่นอนว่าเหตุผลหลักที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของการตลาดที่ต้องการแสดงภาพลักษณ์ของแนวรักษ์โลกเป็นหลัก เพราะไอเสียที่ปล่อยจากรถแข่งนั้นมีน้อยมากถ้าเทียบกับรถบนถนน แต่การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ก็อาจจะนำมาสู้ผลดีกับคนทั่วไปอย่างเราได้จริง อย่างแรกเราต้องอธิบายการว่าเชื้อเพลิงคาร์บอนที่เราใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือถ่านหินนั้นถือเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่จะสร้างพลังงานความร้อนออกมาเมื่อถูกเผาไหม้ ซึ่งของเสียที่ได้ออกมาก็คือก๊าซเรือนกระจกที่เป็นพิษกับทั้งคนและสภาพแวดล้อม การที่เราเอาเชื้อเพลิงฟอสซิลเหล่านี้มาใช้งานในปริมาณมาก ก็จะเป็นเหมือนกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีพิษที่ถูกฝังไว้ใต้ดิน ขึ้นมาสู่อากาศที่เราใช้หายใจ เชื้อเพลิงแบบยั่งยืนที่ MotoGP จะเอามาใช้กับรถแข่งนั้นก็ถือเป็นเชื้อคาร์บอนเช่นกัน แต่แหล่งของคาร์บอนที่ใช้จะไม่ได้นำมาจากฟอสซิลใต้ดิน เพราะพวกเขาจะใช้วิธีดึงคาร์บอนที่มีอยู่แล้วในอากาศ มาแปลงเป็นเชื้อเพลิงแทน เป็นที่มาของชื่อ “เชื้อเพลิงสังเคราะห์” แน่นอนว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงดังกล่าวนั้นยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ แต่มันจะไม่ใช่การเติมก๊าซเรือนกระจกชุดใหม่เข้าไปสู่อากาศ เนื่องจากเดิมทีก๊าซที่ว่ามันก็อยู่ในอากาศอยู่แล้ว สิ่งที่เราจะได้คือ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ “Carbon Neutrality” ซึ่งทางผู้จัดก็ไม่ได้บังคับถึงที่มาของเชื้อเพลิงแบบยิ่งยืน…
กติกา MotoGP 2027 มาแล้ว ทาง MotoGP.com เปิดเผยเอง กติกา MotoGP 2027 ถือเป็นกฎเกณฑ์ ใหม่ ที่มีการเปลี่ยนครั้งใหญ่ ในที่สุด หลังจากที่เรารอคอยมานาน กติกาเกี่ยวกับสเปคของตัวแข่งรุ่นใหม่ที่จะใช้ในการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2027 ก็ได้มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งกติกาใหม่นี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับรถรุ่นใหม่อย่างไร และจะส่งผลกับการแข่งขันในภาพรวมอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย กติกาใหม่สำหรับการแข่งขันในอนาคต ถูกออกแบบมาโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้การแข่งขันมีความปลอดภัยมากขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีความเชื่อมโยงใกล้เคียงกับรถที่ขายจริงบนถนนมากขึ้น (ต่อยอดไปเป็นรถ Production Bike ได้มากกว่าปัจจุบัน) และที่สำคัญคือทำให้การแข่งขันมีการแซงกันอย่างดุเดือดมากขึ้น ถือเป็นการเพิ่มอรรถรสในการรับชมให้แก่คนดูอย่างเราๆ เครื่องยนต์ – ปริมาตรกระบอกสูบของเครื่องยนต์ลดลงจาก 1000 ซีซี เหลือ 850 ซีซี – เส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกสูบลดลงจาก 81 มิลลิเมตร เหลือ 75 มิลลิเมตร – จำนวนเครื่องยนต์ที่ใช้ได้ในแต่ละฤดูกาลลดลงจาก…
หลังจากที่ทางค่ายปีกนก Honda ทำการเปิดตัวระบบคลัทช์ไฟฟ้า หรือ E-Clutch ออกมาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา มันก็สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไปทั่ววงการรถมอเตอร์ไซค์ เพราะมันทำให้ค่ายรถรายอื่นรู้ตัวว่าระบบดังกล่าวมีคนสนใจมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งร่วมชาติอย่าง Yamaha ที่ได้จดสิทธิบัตรเกี่ยวกับระบบที่คล้ายกันไปก่อนหน้านี้ แต่ล่าสุด BMW ก็ได้ทำการเปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวของตัวเองออกมาอย่างเป็นทางการ ตัวช่วยการตัดต่อกำลังแบบใหม่ที่ว่านี้มีชื่อว่า Automated Shift Assist หรือ ASA ถูกเปิดตัวพร้อมรายละเอียดโดยคร่าวอย่างเป็นทางการโดย BMW Motorrad ซึ่งระบบที่ว่านี้ก็จะมีการทำงานส่วนใหญ่ที่คล้ายกับ E-Clutch ของทาง Honda คือจะมีตัวควบคุมชุดคลัทช์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ช่วยทำหน้าที่กำคลัทช์ให้เราในขณะเปลี่ยนเกียร์ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสับเกียร์ทั้งขึ้นและลง ที่เท้าซ้ายได้เลย ส่วนที่ทำให้ระบบดังกล่าวเหนือกว่าค่ายปีกนกคือ การเพิ่มตัวควบคุมชุดเกียร์แบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาด้วย ซึ่งจะมาทำหน้าที่แทนเท้าซ้ายของเราที่ทำหน้าที่เปลี่ยนเกียร์อีกที เรียกว่าทำหน้าที่แทนผู้ขี่ได้ทั้งส่วนของมือซ้ายและเท้าซ้ายเลย BMW ระบุว่าระบบ ASA ที่ว่านี้จะมีโหมดการทำงานสองแบบคือ M ที่จะปล่อยให้เราเปลี่ยนเกียร์ด้วยเท้าซ้ายเอง แต่ไม่ต้องกำคลัทช์ คล้ายกับระบบ E-Clutch และอีกโหมดนึงคือ D ที่จะเป็นเหมือนกับระบบเกียร์ออโตเมติกเต็มรูปแบบ ที่รถของเราจะกำคลัทช์และเปลี่ยนเกียร์ให้เองทั้งหมด แต่ระบบที่ว่านี้ก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าระบบเกียร์ DCT…
2024 Bajaj Pulsar NS400Z รถมอเตอร์ไซค์แนวสตรีทไฟเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด จากค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนภารตะ Bajaj ได้ถูกเปิดตัวในประเทศบ้านเกิด พร้อมโฆษณาว่าเป็นรถในตระกูล Pulsar พร้อมเครื่องยนต์ที่ยกมาจากรถค่ายยุโรปที่ผลิตในโรงงานเดียวกัน แต่มันกลับมีราคาที่ถูกกว่าครึ่งนึง? 2024 Bajaj Pulsar NS400Z ถือเป็นพี่ใหญ่รุ่นใหม่ของรถในตระกูล Pulsar ซึ่งความแตกต่างของรถในตระกูลนี้เมื่อเทียบกับ Dominar 400 ที่เอาเข้ามาขายในไทยคือ Dominar เป็นรถสปอร์ตเปลือยที่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย และรองรับการใช้งานแบบเดินทางได้นิดหน่อย ในขณะที่ Pulsar จะมีรูปแบบการใช้งานที่มีความสปอร์ตคล่องตัวมากกว่า มาพร้อมเครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 1 สูบ 4 วาล์ว ปริมาตรกระบอกสูบ 373 ซีซี ที่ยกมาจาก KTM 390 series โฉมเก่า ให้พละกำลังสูงสุด 40 PS ที่ 8800 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 35 Nm…
Mini ค่ายรถยนต์จากสหราชอาณาจักรที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ถือเป็นอีกหนึ่งค่ายรถที่มีแฟนคลับเหนียวแน่น และหลังจากที่พวกเขาถูกควบรวมกิจการโดย BMW ค่ายรถรายนี้ก็ขยายไลน์อัพและขนาดตัวรถอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มรถพลังงานทางเลือกเข้ามาเสริมทัพ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่คิดว่า Mini จะผลิตก็คงจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ ที่ดูจะหลุดจากภาพลักษณ์เดิมยิ่งกว่ารถ SUV เสียอีก Stefanie Wurst CEO คนปัจจุบันของค่ายรถสุดน่ารัก Mini แสดงออกถึงความสนใจในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ EV หลังจากได้ทำการทดสอบรถไฟฟ้าตัวเริ่มของ BMW อย่าง CE-02 และถึงแม้ว่าการจินตนาการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจาก Mini จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็อย่าลืมว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Mini ได้เข็นรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดเรียบร้อยแล้ว โดยการดึงเทคโนโลยีจากค่ายแม่ BMW และมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินกำลังบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง BMW ที่จะแปลงโฉมรถไฟฟ้าน้องเล็ก CE-02 ของตัวเองให้เรียบง่ายน่ารัก พร้อมตีตราขายด้วยชื่อของ Mini ซึ่งพละกำลังของรถมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ที่ 15 แรงม้า และระยะทางขับเคลื่อนที่ 90 กิโลเมตร ก็ดูจะเข้ากันดีกลุ่มลูกค้าของ Mini ที่เน้นการใช้งานแนวไลฟ์สไตล์และแฟชั่นเป็นหลัก ถึงแม้ว่ายังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า Mini…
