รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตคลาสตำนานแบบ 4 สูบ 400 ซีซี นั้นถือเป็นกลุ่มของรถมอเตอร์ไซค์ที่เรามักจะจับไปเชื่อมโยงกับผู้ผลิตฝั่งญี่ปุ่นทั้ง 4 ค่าย แต่รู้หรือไม่ว่าในยุคเดียวกันกับที่รถคลาสนี้กำลังรุ่งเรือง ค่ายรถยุโรปขนาดเล็กอย่าง Bimota ก็ได้สร้างรถคู่แข่งมาร่วมแย่งส่วนแบ่งตลาดที่กำลังเป็นที่นิยมนี้ด้วย จนเกิดขึ้นเป็น Bimota YB7
ปกติแล้ว Bimota เป็นค่ายรถขนาดเล็กจากยุโรป ที่มักจะนำเอาเครื่องยนต์ของค่ายรถรายใหญ่มาติดตั้งในโครงสร้างรถที่พวกเขาทำขึ้นมาเอง แน่นอนว่า Bimota YB7 ที่ว่านี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะเครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนรถรุ่นนี้ก็ยกมาจาก Yamaha FZR400 รถสปอร์ตคลาสตำนานจากฝั่งญี่ปุ่นนั่นเอง
โดยจุดเริ่มต้นของรถรุ่นนี้ก็มาจากการที่ตัวแทนจำหน่าย Bimota ในญี่ปุ่นต้องการรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตขนาดเล็กมาสู้กับเจ้าตลาดในประเทศ แต่ก็ต้องการรถที่มีความสปอร์ต มีเอกลักษณ์โดดเด่นแบบอิตาลีทั้งในด้านการออกแบบและการขับขี่ สำหรับลูกค้าที่ไม่มีเงิน หรือไม่มีใบขับขี่สำหรับมอเตอร์ไซค์คลาสใหญ่ของค่าย
ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังเติบโต ยอดขายของค่ายรถขนาดเล็กรายนี้ก็มาจากญี่ปุ่นเกือบครึ่งนึง ส่งผลให้ Bimota ตกลงสร้างรถรุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อเจาะตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ โดยมีการทำข้อตกลงกับตัวแทนจำหน่ายในญี่ปุ่นว่าจะต้องผลิตรถสำหรับตลาดญี่ปุ่นก่อน หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะนำรถรุ่นนี้ไปขายในตลาดอื่นได้ แต่ต้องมียอดการผลิตรวมไม่เกิน 500 คัน เพื่อรักษาความพิเศษ
ตัวรถใช้เครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 4 จังหวะ 4 สูบเรียง DOHC 4 วาล์ว/สูบ ปริมาตรกระบอกสูบ 399 ซีซี จาก Yamaha FZR400 ที่ให้พละกำลังสูงสุด 65 Hp ที่ 12,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 38.2 Nm ที่ 9,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยโซ่
ชุดเฟรมและสวิงอาร์มทำจากวัสดุอลูมิเนียม ที่ออกแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดโดย Bimota เช่นเดียวกับแฟริ่งทรงสปอร์ตรอบคัน ตัวรถใช้ไฟหน้าโคมกลมคู่แบบสมัยนิยม, ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบหัวตั้งจาก Marzocchi ด้านหลังแบบสปริงเดี่ยวจาก Ohlins, ระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์คู่ และด้านหลังแบบดิสก์เดี่ยว ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์แอ็กเซียลเม้าท์จาก Brembo
Bimota YB7 ทั้งโลกนั้นถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 321 คัน ต่ำกว่าจำนวนสูงสุดที่ตั้งเอาไว้ แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จในมุมมองของค่าย นั่นทำให้รถรุ่นนี้หายากมากในปัจจุบัน แถมรถส่วนใหญ่บนโลกยังอยู่แค่ในญี่ปุ่น
อ่าน Bike History เพิ่มเติมได้ที่นี่
