สัมภาษณ์ ติ๊งโน๊ต ฐิติพงศ์ วโรกร นักแข่ง Core Kawasaki Thailand Racing Team พร้อมควบ ZX-6R ลงแข่งรายการระดับเอเชีย ต้นเดือนหน้า (ARRC 2018 ROUND 1)

ถือเป็นข่าวดีของคนไทยอีกครั้ง เมื่อนักบิดชาวไทย สังกัด Core Kawasaki Thailand Racing Team ติ๊งโน๊ต ฐิติพงศ์ วโรกร กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมรายการแข่งขันใหญ่ที่สุดในเอเชีย Asia Road Racing Championship Round 1 ในรุ่น Super Sport 600cc ในวันที่ 3-4 มีนาคม 2018 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เจ้าตัวสามารถขึ้นโพเดี้ยมในรายการนี้มาแล้วเมื่อปลายปีที่ผ่านมาในฐานะนักบิด WildCard

คุณ กฤษณะ ภาคีแพทย์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “Core Kawasaki Thailand Racing Team มีความพร้อมอย่างมากที่ส่งตัวนักบิดฝีมือดีอย่างติ๊งโน๊ตลงสู้ศึกครั้งนี้ ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาไปแล้ว และในปีนี้ผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาขั้นสูงสุดของเขาอย่างชัดเจน น้อยมากนะครับที่จะเห็นนักแข่งที่มีความสามารถขนาดนี้ โลดเล่นอยู่ในวงการโมโตสปอร์ตและโด่งดังไปไกลทั่วโลก เขาทำให้ผมภูมิใจและเชื่อมั่นเหลือเกินครับว่ารายการแข่งขันระดับเอเชียที่จะมาถึงนี้ จะมีความพิเศษรอเราอยู่ครับ”

ในมุมมองของนักแข่ง ติ๊งโน๊ต ฐิติพงศ์ วโรกร ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความกังวลและคู่แข่งอันตรายในสนามนี้ว่า “ผมเชื่อมั่นในตัวเองและคนที่ผมจะต้องชนะให้ได้คือ ตัวผมเอง ในปีที่ผ่านมา ผมขึ้นโพเดี้ยมในรายการ ARRC ปีนี้ผมก็ต้องขึ้นโพเดี้ยมเหมือนกัน และจะต้องทำได้ดีกว่านั้น ซึ่งถ้าผมจะต้องแข่งขันกับใคร ผมอยากจะแข่งขันกับตัวผมเอง เพราะมันคือก้าวอีกก้าวที่ผมจะผ่านไปได้เรื่อยๆ ครับ”

หากย้อนเมื่อปีที่ผ่านมา ผลงานของหนุ่มนักบิดคนนี้ถือว่าเข้าตากรรมการเป็นอย่างมาก ตลอดเวลาที่เข้าร่วมรายการมีรายชื่อของเขาขึ้นโพเดี้ยมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรายการในประเะทศไทย รายการเอเชีย หรือแม้แต่รายการระดับโลก ที่เขาทำให้คนดูทั้งสนามประหลาดใจอยู่เสมอ และด้วยเหตุผลนานับประการของปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปีนี้ คาวาซากิส่งตัวของนักบิดเข้าร่วมชิงชัยในรายการแข่งขันแรกแห่งปี 2018 กับการร่วมศึก ARRC ROUND1 ในรุ่น 600 ซีซี ซึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนและฟิตซ้อมทำการแข่งขันอย่างจริงจังตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

คำถามที่พูดคุยกับติ๊งโน๊ต ถึงความพร้อมในการแข่งขัน ARRC ในต้นเดือนหน้า
1. ในรายการแข่งขัน ARRC ปีที่ผ่านมาสร้างผลงานไว้ดีเยี่ยม แล้วปีนี้ เป็นสนามแรก แห่งปี 2018 รู้สึกตื่นเต้นหรือกดดันอะไรไหม

– รู้สึกตื่นเต้น เพราะขี่ครั้งสุดท้ายคือต้นปี และช่วงที่ผ่านมาก็พักและซ้อมบ้างเล็กน้อยถือว่าเป็นรายการที่รอคอยและกดดันในเรื่องของรถ เพราะส่วนตัวไม่ค่อยได้ขี่ในรุ่น 600 ซีซี หากขี่ธรรมดาทั่วไป ผมคงไม่กังวล แต่หากต้องขี่เพื่อกดเวลา ขี่เพื่อชัยชนะ ผมรู้สึกกดดันอยู่เหมือนกันครับ แต่ยังไงก็ไม่ได้ส่งผลทำให้ขี่แย่แน่นอนครับ

2. ขี่แต่ตัว 1000 มาตลอด แต่ในรายการนี้ ลงแข่งในรุ่น Super Sport 600 ซีซี ต้องเตรียมตัวอะไรบ้างไหม
– เตรียวตัวเตรียมใจให้พร้อมอย่างเดียวครับ อยากซ้อมบ่อยๆ แต่ก็ต้องให้เวลาทางทีมเตรียมรถ เซ็ตรถ เพราะสำคัญที่สุดคือสมรรถณะของรถ ในส่วนนี้ต้องให้เวลาทีมงานมากๆครับ ส่วนเราก็ต้องเตรียมรับมือกับรถที่จะขี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขี่ให้ได้ดีที่สุดครับ

– ถ้าถามว่ามันต่างจากตัว 1000 ซีซี ไหม ก็เรื่องอัตราเร่ง อัตราทด น้ำหนัก เท่านั้นครับ ที่เหลือคือการขี่อย่างไรให้ได้เวลาออกมาดีที่สุดครับ

3. มีใครมาเทรนเป็นพิเศษหรือไม่ในสนาม ARRC นี้
– ณ ตอนนี้น่าจะเป็นส่วนของทีมงานทั้งหมดครับ ส่วนตัวนักแข่งเองนั้นมีฟูจิวาระเข้ามาช่วยดูอยู่เรื่อยๆ แต่หลักๆ ยังคงเป็นเรื่องของทีมครับ ตัวของผมเองได้รับความไว้วางใจจากคาวาซากิ เขาเชื่อมั่นในฝีมือผม เราปรับจูนกันบางอย่างครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องมานั่งคุยกันอยู่แล้ว อย่างที่บอกรายการนี้ผมขี่ 600 ซีซี ที่น่าจะต้องดูแลกันเป็นพิเศษคงจะเป็นรถที่ใช้แข่งครับ

4. คู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับรายการ ARRC ของคุณ คือใคร
– ตัวเองครับ ผมเชื่อมั่นในตัวเองและคนที่ผมจะต้องชนะให้ได้คือ ตัวผมเอง ในปีที่ผ่านมา ผมขึ้นโพเดี้ยมในรายการ ARRC ปีนี้ผมก็ต้องขึ้นโพเดี้ยมเหมือนกัน และจะต้องทำได้ดีกว่านั้น ซึ่งถ้าผมจะต้องแข่งขันกับใคร ผมอยากจะแข่งขันกับตัวผมเอง เพราะมันคือก้าวอีกก้าวที่ผมจะผ่านไปได้เรื่อยๆ ครับ (ปรบมือรัวๆ)

5. คุณต้องเป้าหมายรายการแข่งขัน ARRC สนาม1 นี้ไว้อย่างไร
– สูงสุดครับ ผมว่านักแข่งทุกคนมีเป้าหมายจุดเดียวกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ประสบการณ์คือสิ่งที่ทำให้เราก้าวไปถึงจุดนั้นครับ สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ ผมมีเป้าหมายคือการขึ้นโพเดี้ยมและได้อันดับที่ดีกว่าเดิม ถ้าถามว่าผมตั้งเป้าไว้สูงไหม ก็ตั้งตามความสามารถของตัวเองครับ

6. กับการแข่งขันมีเวลาการซ้อมเพียงพอไหม
– ปีที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยจับรถเลย มีเวลา 1 วันครับ ถือว่าน้อยครับกับการได้จับรถรุ่นนี้ก่อนลงแข่งขัน แต่มันเป็นประสบการณ์มากครับ มันเป็นการดึงสมรรถณะของตัวเองและรถออกมาในเวลาเพียง 1 วัน ผมว่ามันคือความตื่นเต้นและเป็นความท้าทายอย่างมาก ถามว่าถ้าให้เวลามากกว่านี้ มันก็ดี ดีสำหรับทุกฝ่ายครับ แต่แบบนี้มันดีสำหรับผมครับ ผมได้รู้ลิมิตตัวเองและได้รู้ว่าตัวเองนั้นมีความสามารถมากแค่ไหนครับ แต่ก็ผ่านมาได้ ขึ้นโพเดี้ยมมาได้ ปีนี้ก็ต้องทำได้ครับ

7. จะร่วมลงแข่งขันในระดับโลกอย่างรายการ WSBK ในเดือนมีนาเช่นกัน มีความกังวลไหม
– กังวลรถครับ (หัวเราะ) ผมกลัวไม่มีรถเอาไว้แข่งหรือรถไม่พร้อมมากกว่า ในปีนี้คาวาซากิมีรถให้แข่งขันในรุ่น 600 ซีซี ซึ่งแน่นอนครับว่ารายการใหญ่ขนาดนี้เราต้องทำการเตรียมความพร้อมเรื่องรถแข่งอย่างมาก ต้องให้เวลาทีมงานมากกว่าครับ ปีที่แล้วผมขี่รถของแชมป์ ทุกอย่างเป็นของเขาหมดเราแค่ขี่อย่างเดียว แต่ในปีนี้เราลงในนาม Core Kawasaki Thailand racing Team เราต้องทำเองทั้งหมด รถของเราเองด้วยครับ ซึ่งความกดดันทุกอย่างมันจะเข้ามาในช่วงเดือนนี้แหละครับ ส่วนตัวนักแข่งก็ฟิตร่างกายและเตรียมรับมือกับรถที่ใช้แข่ง เค้นมันออกมาให้ได้สูงสุด ความท้าทายมันรออยู่ข้างหน้าแน่นอนครับ

8. ช่วงนี้ฟิตซ้อมร่างกายอย่างไรบ้าง
– ฟิตเนส ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย สร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง จริงๆ ก็ออกกำลังกายเป็นประจำ อยู่แล้ว คิดว่าไม่มีผลกับการขับขี่รถครับ ยังไงก็สามารถลงแข่งได้แน่นอนครับ

9. สุดท้าย สาวๆ ฝากถาม การสร้างซิกแพ็กช่วยให้ขี่รถได้มันส์ขึ้น จริงหรือ O^O
– (หัวเราะก่อนเลย) มันช่วยได้ครับ (หน้าแดง) แกนกลางของร่างกายเราต้องแข็งแรงครับ เวลาเราขี่รถเป็นระยะเวลานาน มันต้องเกิดความเมื่อยล้า เกร็ง ยิ่งเวลาโยกเข้าโค้ง ในส่วนลำตัวต้องใช้เยอะ ถ้าหากสร้างกล้ามเนื้อในส่วนลำตัวขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งตรงนี้ เวลาผมขี่รถมันก็ทำให้ผมไม่เมื่อยและที่สำคัญผมสร้างซิกแพ๊กเอาไว้อวดสาวๆครับ (555+)

สุดท้ายนี้ต้องขอให้แฟนๆ ชาวไทยร่วมส่งกำลังใจให้กับนักบิด ติ๊งโน๊ต ฐิติพงศ์ วโรกร หมายเลข 100 จากทีม Core Kawasaki Thailand Racing Team สามารถขึ้นโพเดี้ยมคว้าชัยชนะเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ดังกระหึ่มสู่แดนเอเชียต่อไป