Author: Kristha

เปิดตัวกันมาเรียบร้อยแล้วกับรถขนขิงทางเรียบ Zontes 368K ที่มีกระแสถูกโหมให้เราได้เห็นกันมานาน โดยมันจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวท็อปของบิ๊กสกู๊ตเตอร์ทางเรียบ เคียงคู่กับสายลุยอย่าง 368G ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่เราเหมาะกับรถคันไหน? เครื่องยนต์Zontes 368K : 1 สูบ / SOHC 4 วาล์วต่อสูบ / ระบายความร้อนด้วยน้ำ / ปริมาตรกระบอกสูบ 368 ซีซีZontes 368G : 1 สูบ / SOHC 4 วาล์วต่อสูบ / ระบายความร้อนด้วยน้ำ / ปริมาตรกระบอกสูบ 368 ซีซี พละกำลังสูงสุดZontes 368K : 38.2 Hp ที่ 7,500 รอบต่อนาที / 40 Nm ที่ 6,000 รอบต่อนาทีZontes 368G : 38.2 Hp ที่ 7,500…

Read More

คนที่ติดตามการแข่งขัน MotoGP ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา น่าจะคุ้นเคยกันดีกับ Ride Height Device หรือ ระบบโช้คสายย่อ ที่ช่วยลดความสูงของตัวแข่งทั้งหน้าและหลัง เพื่อช่วยให้ตัวรถสามารถออกตัว หรือเร่งออกจากโค้งได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น มั่นคงมากขึ้น และพวกเราก็น่าจะรู้กันดีว่าถึงแม้อุปกรณ์นี้จะดูน่าสนใจแค่ไหน แต่ทีมแข่งส่วนใหญ่กลับไม่ชอบมัน ถึงขนาดจะยกเลิกการใช้งานมันในกติกาปี 2027 แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้น โดยหลักการเบื้อหลังของ Ride Height Device ทั้งด้านหน้าและหลังนั้นจะเหมือนกัน คือในช่วงการออกตัวรถมอเตอร์ไซค์ที่มีพละกำลังสูง ต่อให้มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือนักแข่งที่ควบคุมมีฝีมือมากขนาดไหน รถของเราก็มีโอกาสยกหน้า และเสียการควบคุม จนทำให้ต้องถอนคันเร่งและสูญเสียความเร็ว การลดความสูงของโช้คนั้นนอกจากจะช่วยลดศูนย์ถ่วงของตัวรถ การที่องศาของระบบกันสะเทือนเปลี่ยนไป ยังช่วยให้ตัวรถมีองศาแผงคอ และระยะฐานล้อเปลี่ยนไปจากรูปแบบเดิมเล็กน้อย ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยเพิ่มความนิ่ง และลดโอกาสยกล้อ ทำให้สามารถออกตัวได้เร็วและแรงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งโช้คสายย่อที่ว่านี้ก็ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยมหาอำนาจยุคใหม่อย่าง Ducati และแน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ว่านี้ก็ถือว่าไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกติกา แถมยังเป็นเทคโนโลยีน่าสนใจที่คนดูหลายคนก็ชอบ ทำให้ค่ายรถรายอื่นต้องลงทุนทำบ้างในเวลาต่อมา เริ่มกันที่โช้คหลังก่อน แล้วตามมาด้วยโช้คหน้า รู้ตัวอีกทีนักแข่งก็สามารถใช้ระบบที่ว่านี้ระหว่างแข่งขัน ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงออกตัวอีกแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือ ระบบที่ว่านี้จำเป็นต้องใช้งบประมาณในการพัฒนา ไม่ต่างจากเทคโนโลยีอื่นบนตัวรถ ทีมแข่งบางทีมอาจไม่ได้มีงบประมาณมากพอที่จะเอามาพัฒนาระบบที่ไม่มีทางได้นำไปใช้ในรถถนน ทางด้านผู้จัดก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเช่นกัน…

Read More

หลังจากที่เราได้นำเสนอข่าว Harley-Davidson วางแผนที่จะพัฒนารถมอเตอร์ไซค์คลาสเริ่มต้นรุ่นใหม่ สำหรับใช้ในการวางจำหน่ายในระดับโลกกันไปแล้ว หลายคนก็น่าจะทราบกันดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาคิดที่จะทำเรื่องนี้ เพราะหลายปีก่อนค่ายรถรายนี้ก็เคยเปิดตัวน้องเล็กอย่าง Street 500 ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และในปัจจุบันก็ยังมี X350 รุ่นผลิตในประเทศจีน และ X440 ที่ผลิตในอินเดีย แต่รถเหล่านี้ก็จำหน่ายแค่ในไม่กี่ประเทศเท่านั้น แถมมันยังมีผลตอบรับในทางลบจากลูกค้าเดนตายอยู่พอสมควร แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ทั้งที่ค่ายรถรายอื่นไม่ว่าจะเป็น Triumph, KTM, Aprilia กลับประสบความสำเร็จในตลาดกลุ่มนี้ ก่อนอื่นเราก็ต้องขออธิบายก่อนว่า นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบสเปคของรถแต่ละค่าย ว่าคันไหนดีกว่ากัน แต่เราจะมาวิเคราะห์และแจกแจงเหตุผล ว่าอะไรคือตัวแปรที่ทำให้รถแต่ละคันจากแต่ละค่าย ปัง หรือ แป้ก จากมุมมองของผู้บริโภค ถ้าเราไปดูที่ตัวอย่างของรถน้องเล็กที่ประสบความเร็จไม่ว่าจะเป็น Triumph Speed 400, KTM Duke 390, Aprilia RS457 เราจะเห็นได้ว่ารถเหล่านั้น ดูเป็นรถจากค่ายนั้นจริง ๆ (Triumph ดูเป็น Triumph และ KTM ก็ดูเป็น…

Read More

หลงัจากที่ค่ายปีกนก Honda ได้ทำการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ต้นแบบ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V3 และติดตั้งอุปกรณ์น่าสนใจอย่างระบบอัดอากาศด้วยไฟฟ้า E-Compressor แน่นอนว่าคู่แข่งอย่าง Yamaha จะอยู่เฉยไม่ได้ เพราะล่าสุดพวกเขาได้ทำการจดสิทธิบัตร เทอร์โบไฟฟ้า E-Turbo มาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรง แต่ระบบนี้ต่างกันยังไง ดีกว่าหรือด้อยกว่าตรงไหน? ตามปกติแล้วรถจักรยานยนต์ และระบบอัดอากาศ เป็นของที่ไปด้วยกันได้ไม่ดีเท่าไร เพราะถึงแม้ว่ารถยนต์ยุคใหม่จะทำการติดตั้ง Turbo เพื่อเพิ่มความแรง และลดค่าไอเสียกันเป็นปกติ แต่ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามา ความซับซ้อนของการเดินท่อไอดีและไอเสีย ก็ส่งผลกระทบกับการขับขี่มอเตอร์ไซค์โดยตรง เพราะนอกจากจะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่แล้ว ของทุกอย่างที่ว่ามาจะต้องถูกหนีบไว้ใต้ขาของผู้ขี่ ซึ่งผู้ขี่จะรู้สึกถึงน้ำหนักที่เพิ่มเข้ามาอย่างแน่นอน อีกปัญหาคือเรื่อง Turbo Lag ที่ส่งผลต่อการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ลดลง ซึ่งเดิมทีปัญหานี้ก็ทำให้ผู้ใช้รถยนต์สายสมรรถนะสูงหลายคนไม่ชอบอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกที่ว่าจะชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ในรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีน้ำหนักเบาและมีการตอบสนองที่รวดเร็วเป็นจุดเด่น แปลว่าถ้าเราสามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำหนัก และการตอบสนองได้ ระบบอัดอากาศก็น่าจะมีหวังที่จะถูกนำมาใช้ในรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ Yamaha เขียนเอาไว้ในภาพสิทธิบัตรล่าสุด และเป็นการต่อยอดจากสิทธิบัตรที่เคยจดไว้ในปี 2020 จากภาพจะเห็นได้ว่าระบบเทอร์โบของค่ายส้อมเสียงนั้นจะยังมีพื้นฐานโดยรวม ไม่ต่างจากระบบเทอร์โบตามปกติ แปลว่าภาพสิทธิบัตรนี้จะไม่ได้ทำมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความซับซ้อน อันที่จริงแล้วต้องบอกว่ามันซับซ้อนมากกว่าเดิมด้วย เพราะพวกเขาได้ทำการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปที่ตัวเทอร์โบ เพื่อทำหน้าที่ช่วยปั่นรอบ…

Read More

Zontes 368K รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กสกู๊ตเตอร์สายเที่ยวทางเรียบ ที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องในโซเชียลมีเดีย จนแม้แต่ดีลเลอร์ของ Zontes เองยังออกตัวแบบไม่อ้อมค้อม ว่ารถรุ่นนี้จะเปิดตัวในไทยอย่างแน่นอน แถมยังถูกจับภาพคันจริงได้บนถนนสาธารณะ ซึ่งดูเหมือนว่าสเปคของมันจะจัดเต็มกว่ารุ่นที่บ้านเกิดตัวเองด้วยซ้ำ คำถามที่ตามมาคือสเปคตัวรถในไทยจะเป็นแบบไหน และจะเปิดตัวด้วยค่าตัวเท่าไร? พื้นฐานภายในยังคงมาพร้อมเครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 1 สูบ 4 วาล์ว ปริมาตรกระบอกสูบ 368 ซีซี ที่สามารถสร้างพละกำลังสูงสุดได้ 38.2 Hp ที่ 7,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 40 Nm ที่ 6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ออโตเมติก ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยสายพาน แน่นอนว่านี้คือเครื่องยนต์ลูกเดียวกับที่มีอยู่ใน 368G ในส่วนของสเปครอบคันก็ยังถือว่าขนขิงได้ตามสูตรของค่ายรถแดนมังกร อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าน่าจะขิงได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะจากเดิมระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบหัวตั้ง ด้านหลังแบบสปริงคู่ แต่รถที่ถูกพบเป็นภาพหลุดในไทยนั้น กลับมาพร้อมโช้คหน้าแบบหัวกลับ ถือว่าเล่นถูกจุดคนไทยจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถทราบได้ว่าโช้คใหม่นี้ปรับค่าอะไรได้บ้าง และจะมีระยะยุบเท่าไร ระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์เดี่ยว ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เรเดียลเม้าท์จาก J.Juan ด้านหลังแบบดิสก์เดี่ยว…

Read More

Harley-Davidson ค่ายรถมอเตอร์ไซค์พรีเมี่ยมสไตล์อเมริกัน ที่ถือว่ากำลังไปได้สวยในตลาดประเทศไทย แซงหน้าคู่แข่งยุโรปแบบขาดลอย ถึงแม้จะมีค่าตัวต่อคันที่แพงแสนแพงก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นค่ายตราโล่กลับกำลังประสบปัญหาในระดับโลก เพราะนอกจากกำลังบริโภคของลูกค้าจะหดหาย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน คนเริ่มไม่อยากได้รถมอเตอร์ไซค์พรี่เมี่ยมค่าตัวแรงที่เป็นแค่ของเล่น แต่ใช้งานในชีวิตประจำวันไม่ได้ ซ้ำด้วยปัญหาทางการเมืองและสงครามการค้าจากอเมริกา นั่นสงผลให้ Harley-Davidson ต้องปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ใหม่ เพื่อให้เข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลง ข้อมูลนี้เป็นการสรุปบทสัมภาษณ์ของ รองประธานฝ่ายตลาดนานาชาติของ Harley-Davidson รวมกับข้อมูลจากแหล่งอื่น ที่ได้ให้ข้อมูลว่า ยอดของทางค่ายในช่วงหลังที่หายไป เป็นเพราะการถอดโมเดลสำคัญอย่าง Sportster รุ่นดั้งเดิม ที่เป็นเหมือนกับรถตัวเริ่มของค่ายในคลาส 800-1200 ซีซี ออกไป ตัวตายตัวแทนรุ่นใหม่อย่าง Sportster S ในสไตล์โมเดิร์นก็ดันได้รับความสนใจน้อยกว่ารุ่นเก่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพลักษณ์ของ Harley-Davidson นั้นยึดโยงกับความเป็นรถคลาสสิกสไตล์อเมริกันไว้อย่างเหนียวแน่น คนทั่วโลกรู้จักค่ายรถรายนี้ และภาพลักษณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี ดีจนคนที่อยู่นอกวงการรถมอเตอร์ไซค์ อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าค่ายนี้ก็ทำรถแอดเวนเจอร์ร่วมสมัยด้วย นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นผู้ชายผิวขาว ที่มีอายุเฉลี่ยมากกว่า 50 ปี ซึ่งเป็นถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความสำคัญมากที่สุด สนันสนุนแบรนด์มานานที่สุด และเป็นกลุ่มที่ค่ายต้องเอาใจมากที่สุด กลับอยู่ในช่วงวัยที่เลิกคิดจะออกรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่กันแล้ว ส่งผลให้ตลาดของพวกเขามีแต่จะหดตัวลง แต่ถ้าจะไปหวังกับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยก็ทำไม่ได้ เพราะคนอายุน้อยนั้นให้ความสนใจกับรถมอเตอร์ไซค์ที่เล็กกว่า…

Read More

มาถึงตอนนี้ ทุกคนน่าจะได้ยินข่าวของรถต้นแบบ Honda V3R ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 3 สูบวี พร้อมระบบอัดกากาศด้วยไฟฟ้ากันไปแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องยนต์แปลกตาที่ว่านี้กลับไม่ใช่ของใหม่สำหรับค่ายปีกนก เพราะถ้าเราย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อน ก็เคยทำเครื่องยนต์แบบนี้ออกมาในชื่อ NS400R แถมถูกพิสูจน์ความสามารถมาแล้วทั้งในสนามแข่ง และบนถนนจริง จุดเริ่มต้นของตำนาน V3 นั้นต้อนย้อนกลับไปในปี 1981 Honda กำลังตั้งไข่ในการแข่งขันรายการ World Grand Prix เนื่องจากตัวแข่งในตอนนั้นอย่าง Honda NR500 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ 4 สูบวี พร้อมลูกสูบแบบวงรี นั้นไม่สามารถสู้กับคู่แข่งที่ใช้เครื่องยนต์ 2 จังหวะ ได้เลย นั่นทำให้ในปี 1982 ค่ายปีกนกได้ทำการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ตัวแข่งรุ่นใหม่อย่าง Honda NS500 ที่ยอมเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ ซึ่งเป็นรูปแบบเครื่องยนต์ที่ได้เปรียบมากกว่าในกติกาของยุคนั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 3 สูบวี…

Read More

หลังจากที่ Honda ที่ได้การสร้างกระแสบิ๊กไบค์ไร้คลัทช์ ด้วยเทคโนโลยีอย่าง DCT หรือ E-Clutch ในเวลาต่อมาไม่นาน ค่ายคู่แข่งไม่ว่าจะเป็น Yamaha, BMW, KTM ต่างก็ทำของที่คล้ายกันออกมาบ้าง พูดได้เต็มปากว่ากระแสนี้กำลังมา ถึงอย่างนั้นเทคโนโลยีดังกล่าวก็จะวนอยู่กับรถแนวทัวริ่ง หรือรถใช้งานในเมืองเป็นหลัก แต่ล่าสุดค่ายรถสายสปอร์ตอย่าง Ducati ก็สนใจร่วมตลาดนี้กับเขาบ้าง โดยทำการจดสิทธิบัตรระบบคลัทช์ออโต้แบบใหม่ ที่ดูแล้วการทำงานแทบจะเรียกได้ว่ารับแรงบันดาลใจมาจาก E-Clutch ของ Honda เต็ม ๆ โดยระบบคลัทช์ออโต้ของทางค่ายแดง จะมีรูปแบบและวิธีการใช้งานจากมุมมองของผู้ขับขี่ ที่เหมือนกับระบบของค่ายปีกนกทุกอย่าง คือเราสามารถใช้เท้าตบคันเกียร์ขึ้นหรือลงได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องกำก้านคลัทช์ที่มือซ้ายเลยตลอดการใช้งาน แต่ถ้าเกิดว่าเราอยากเล่นสนุกกับการควบคุมคลัทช์ขึ้นมา เช่นการเบิ้ลเครื่องเพื่อฟังเสียงเล่น เราก็สามารถกำคลัทช์ได้ตามปกติ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเรื่องระบบการทำงานภายใน Honda E-Clutch นั้นจะใช้ระบบคลัทช์แบบสาย ซึ่งสายที่ก้านคลัทช์จะถูกต่อเข้าไปที่โมดุล E-Clutch ที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างเครื่องยนต์ ถ้าเราตบเกียร์ที่เท้าซ้าย โมดุลที่ว่านี้จะทำหน้าที่ควบคุมชุดคลัทช์ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแทนเรา ทางด้านระบบของ Ducati นั้นจะใช้ระบบคลัทช์น้ำมันในการควบคุมแทน (เป็นอิตาเลี่ยนจ็อบ ไม่ได้เป็นอิตาเลี่ยนก็อป) โดยในส่วนของก้านคลัทช์ที่มือซ้ายนั้นจะต่อเข้ากับปั้มน้ำมัน ซึ่งต่อไปที่ชุดคลัทช์ตามปกติเหมือนระบบคลัทช์น้ำมันทั่วไป…

Read More

Honda CBR500R FOUR รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตคลาสเริ่มต้นคันใหม่ ที่จะมาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง สานต่อตำนาน Super Four จากค่ายปีกนก Honda เตรียมเปิดตัวภายในปลายปีนี้ ลุ้นมาไทย มีโอกาสไหมที่จะติดตั้งระบบคลัทช์ไฟฟ้า E-Clutch? ก่อนอื่นเราก็ต้องขออธิบายก่อนว่า ข่าวของรถมอเตอร์ไซค์คลาสเริ่มแบบ 4 สูบเรียง จากค่ายปีกนกนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ เพราะเมื่อปีที่แล้ว Honda ได้ทำการประกาศอย่างเป็นทางการในประเทศจีน ว่าจะจำหน่ายรถกลุ่มนี้ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากรถสปอร์ตคลาสเล็กแบบ 4 สูบเรียง กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในประเทศจีน นอกจากนี้ก็มีคนค้นพบเครื่องหมายการค้าใหม่อย่าง CBR400R FOUR และ CBR500R FOUR จากชื่อก็แสดงให้เห็นว่ารถรุ่นใหม่จะมาในรูปโฉมสปอร์ตฟูลแฟริ่ง ที่มีท่านั่งแบบเป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ไม่ได้ก้มหมอบแบบดุดันเหมือนรถสนาม และแน่นอนว่ามันจะมาพร้อมเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ไม่ใช่ 2 สูบเรียงแบบ CBR500R ที่มีจำหน่ายอยู่แล้ว โดยตัวรถจะถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ตามปริมาตรกระบอกสูบ…

Read More