Yamaha YZF-R1 รถมอเตอร์ไซค์ Superbike ตัวท็อปที่สุดของความแรงและเทคโนโลยีจากค่ายส้อมเสียง Yamaha ที่ถือเป็นตำนานอีกรุ่นในวงการสองล้อ แต่ไม่ว่ารถรุ่นนี้จะแรงขนาดไหน หรือคว้าในแชมป์รายการแข่งขันอะไรมาบ้าง แต่ตำนานที่ว่านั้นก็กำลังจะจบลงเมื่อสิ้นสุดปี 2024 เนื่องจากทางค่ายไม่คิดจะพัฒนารถรุ่นนี้เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5+ ที่กำลังจะถูกบังคับใช้ เพราะฉะนั้นเราจะพากันมาทวนประวัติของรถรุ่นนี้ก่อนที่มันจะปิดตำนานลง ตำนานของรถตระกูล YZF-R1 นั้นเริ่มต้นมาจากความต้องการของค่ายที่จะสร้างรถใหม่ขึ้นมาแทนที่รถรุ่นก่อนหน้าอย่าง YZF1000R Thunderace (1996) ซึ่งเดิมทีแล้วรถรุ่นดังกล่าวก็ทำหน้าที่เป็นสายสปอร์ตตัวท็อปของค่ายอยู่แล้ว เพียงแต่แนวทางการออกแบบของมันจะมีความคล้ายกับรถสปอร์ตทัวริ่งแบบ Suzuki Hayabusa หรือ Kawasaki ZZR1400 มากกว่าที่จะเป็นแนวสปอร์ตสายสนามในปัจจุบัน YZF-R1 (1998) เป็นรถรุ่นแรกในตระกูล YZF-R1 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความแรงขั้นสุด โดยที่ไม่ทิ้งความคล่องตัวในการเข้าโค้งในถนนที่คดเคี้ยว ได้ต้นแบบมาจากตัวแข่ง WorldGP อย่าง YZR500 ตัวรถมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 4 จังหวะ 4 สูบเรียง 998 ซีซี 5 วาล์ว/สูบ ที่ให้พละกำลังสูงสุด 150…
Author: Kristha
นอกจากการแข่งขันรายการใหญ่ MotoGP ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ที่ Qatar ก็ยังมีรายการรองในรุ่นกลางและรุ่นเล็กอย่าง Moto2 และ Moto3 ที่ในปีนี้มาพร้อมกับซัพพลายเออร์ยางรายใหม่ Pirelli ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนยางค่ายเก่าอย่าง Dunlop ซึ่งก่อนที่จะเริ่มต้นการแข่งขันนัดเปิดฤดูกาล เราก็ขอพาทุกคนมาดูสเปคยางใหม่ที่ว่านี้ก่อนว่าเป็นอย่างไร แตกต่างจากในรุ่นใหญ่ไหม? ยางที่ใช้ในการแข่งขันของรุ่น Moto2 และ Moto3 จะเป็นยางสูตรมาตรฐานคล้ายกับยางสลิคที่มีขายทั่วไป ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะจงการใช้งานในสนามแข่งไหนเป็นพิเศษ ต่างกับยางของฝั่งของรุ่นพี่อย่าง Michelin ที่ยางเหล่านั้นจะเป็นยางโปรโตไทป์ ซึ่งมีหน้ายางแต่ละด้านที่แข็งไม่เท่ากัน เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานแต่ละสนามที่มีจำนวนโค้ง ซ้าย/ขวา ต่างกัน ในรุ่น Moto2 และ Moto3 จะมาพร้อมกับยาง 2 ประเภทคือ ยางสลิค(Pirelli Diablo Superbike) และ ยางฝน(Pirelli Diablo Rain) โดยยางแต่ละแบบก็จะถูกแบ่งออกเป็น ยางหน้า และ ยางหลัง ซึ่งยางของแต่ละล้อก็จะมีตัวเลือกความแข็งของคอมปาวด์ยางที่แตกต่างกัน ไล่ตั้งแต่ SC0 ที่เป็นคอมปาวด์ยางที่นิ่มที่สุดไปจนถึง…
Dani Pedrosa อดีตนักแข่งร่างเล็กในรุ่น MotoGP กับฝีมือเกินร้อยที่ทำให้เขาเกือบคว้าแชมป์โลกมาได้หลายครั้งกับค่าย Honda แต่หลังจากที่เขาแขวนหมวกไป ปัจจุบันเขาก็รับงานเป็นนักทดสอบรถแข่งให้กับ KTM หนึ่งในค่ายรถอีกรายที่มีพัฒนาการด้านแอโร่ได่นามิคที่ล้ำหน้า แต่ถึงอย่างนั้นนักแข่งผู้นี้กลับไม่ปลื้มการพัฒนาไปในทิศทางที่ว่าเท่าไร Dani Pedrosa ได้พูดในรายการ Paddock Pass Podcast เกี่ยวกับหน้าที่ของเขาในฐานะนักทดสอบว่า “นักทดสอบทุกคนมีวิธีการและหน้าที่ต่างกัน ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากตัวแปร 2 อย่าง อย่างแรกคือความว่าง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นักทดสอบคนเดียวทำทุกหน้าที่ เรื่องถัดไปคือปัญหาที่แต่ละค่ายต้องเจอมันไม่เหมือนกัน” “ตอนที่ผมเข้าไปอยู่กับ KTM พวกเขามีประสบการณ์น้อยมากในรุ่น MotoGP ขั้นตอนการทำงานเลยต่างกับที่ Honda หรือ Yamaha เป็นอย่างมากเนื่องจากพวกนั้นมีประวัติศาสตร์ในรายการนี้มายาวนาน” และเมื่อเขาถูกถามเกี่ยวกับความแตกต่างของรถ MotoGP ยุคใหม่และยุคเก่า เขาก็ได้ให้ความเห็นว่า “ความต้องการพละกำลังทางร่างกายในการควบคุมรถรุ่นใหม่มันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก มันยากขึ้นในการพลิกรถจากซ้ายไปขวา และยากขึ้นในการขับไล่ตามคู่แข่ง ทั้งความนิ่งและความเร็วในโค้งก็เพิ่มมากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าความคล่องตัวต้องหายไป” “ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายคือ ตอนนี้เราต้องหาสมดุลระหว่างแอโร่ไดนามิคและความง่ายในการควบคุมรถ สำหรับผมแล้ว ผมชอบรถแข่งในยุคเก่าที่ยังไม่มีแอโร่ไดนามิคมากกว่า เพราะรถพวกนั้นขี่ได้สนุกกว่า” Dani Pedrosa…
Jorge Lorenzo อดีตนักแข่งดีกรีแชมป์โลก MotoGP ที่ถึงแม้เขาคนนี้จะแขวนหมวกเลิกแข่งไปนานแล้ว แต่ก็ยังอยู่บนพื้นที่สื่อไม่ขาด ซึ่งก่อนเริ่มฤดูกาลแข่งขัน 2024 เขาที่ได้เห็นผลงานการทดสอบรถของ Marc Marquez ที่เป็นทั้งเพื่อร่วมชาติและเพื่อนร่วมทีมกับรถใหม่ค่าย Ducati โดยเขาได้ตั้งข้อสงสัยที่ Marc Marquez ต้องหาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะสามารถทำผลงานขึ้นมาอยู่หัวแถวอีกครั้ง Jorge Lorenzo ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับอดีตเพื่อนร่วมทีมว่า “ตอนนี้ผมมีคำถามในหัวเกี่ยวกับ Marc ในปีนี้ อย่างแรกคือ เขาจะต้องใช้เวลาเท่าไรในการทำความเข้าใจรถของ Ducati เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้วิธีควบคุมรถอย่างถูกต้อง เพราะเขายังคงขี่มันเหมือนกับตอนที่ขี่ Honda” “อย่างที่สองคือ Ducati ในรุ่น GP23 และ GP24 มีความแตกต่างกันมากขนาดไหน มันวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วไปเท่าไร เพราะดูเหมือนว่าความแตกต่างของรถทั้งสองรุ่นจะเยอะพอสมควร Bagnaia และ Martin ไม่ใช่นักแข่งที่แย่พวกเขาเป็นพวกที่เก่งที่สุด ถ้าพวกเขามีรถที่ดีกว่า พร้อมประสบการณ์ที่มากกว่ากับรถค่ายแดง เรื่องนี้ก็จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อผลงาน” “คำถามที่สามคือ เรื่องเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ Marc ว่าตอนนี้แขนของเขาหายดีแล้ว…
กำลังจะเข้าฤดูร้อนกันแล้ว ปัญหาอย่างนึงที่ผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์หลายคนต้องเจอคือเรื่อง “ความร้อนสะสม” แน่นอนว่าเรื่องนี้สามารถแก้ได้หากรถของเราใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งช่วยกำจัดความร้อนส่วนเกินออกจากเครื่องยนต์ แต่ถึงอย่างนั้นของเหลวที่ใช้หล่อเย็นในเครื่องยนต์ของเรากลับไม่ใช่แค่ “น้ำเปล่า” แต่เป็น “น้ำยาหล่อเย็น” ของเหลวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการหล่อเย็นเครื่องยนต์โดยเฉพาะ แต่คำถามคือ “เราใช้น้ำเปล่าธรรมดาไม่ได้หรอ?” ก่อนอื่นเราต้องอธิบายหน้าที่การทำงานของระบบระบายความร้อนด้วยน้ำอย่างง่ายกันก่อน เริ่มจากการที่เครื่องยนต์แบบสันดาปภายในมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อน และยิ่งมีการเผาไหม้ที่มากขึ้น ก็แปลว่ามีความร้อนถูกสร้างขึ้นมากตามไปด้วย เราจึงต้องหาวิธีกำจัดความร้อนดังกล่าวโดยการบังคับให้ของเหลวไหลผ่านส่วนที่ร้อนของเครื่องยนต์ เพื่อดึงความร้อนไประบายออกในหม้อน้ำ แน่นอนว่าตามหลักการแล้ว “น้ำ” ก็เป็นของที่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากน้ำเป็นสสารอย่างนึงที่สามารถรับความร้อนได้ในปริมาณมาก โดยที่ตัวเองไม่ร้อนตามอยู่แล้ว แต่ผู้ผลิตหลายรายก็ได้สร้าง “น้ำยาหล่อเย็น” หรือ “Coolant” ขึ้นมาเพื่อให้การหล่อเย็นมีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก สิ่งที่ทำให้ “น้ำยาหล่อเย็น” ทำหน้าหล่อเย็นที่ได้ดีกว่า “น้ำเปล่า” คือการเติมสาร “Ethylene Glycol” ที่ช่วยเพิ่มจุดเดือดของน้ำให้กลายเป็น 120 องศาเซลเซียส ช่วยให้ของเหลวในระบบระเหยกลายเป็นไอน้ำได้ยากขึ้น แปลว่าของเหลวในระบบของเราสามารถรับความร้อนไประบายออกได้มากกว่า “น้ำเปล่า” นอกจากนี้น้ำยาหล่อเย็นยังมีส่วนช่วยรักษาเครื่องยนต์ เนื่องจากมีการเติมสารเคมีป้องกันสนิม และสารเคมีที่ช่วยป้องกันการแข็งตัวของของเหลว ในกรณีที่เราต้องใช้รถในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น สุดท้ายคือเรื่องของ “สี” ของ “น้ำยาหล่อเย็น” ที่ช่วยให้เราสามารถสังเกตการรั่วซึมได้ง่ายกว่าการใช้…
รู้หรือไม่ว่าทีมแข่งอิสระที่กำลังทำผลงานไปได้สวยอย่าง VR46 ของแชมป์โลกเจ้าตำนาน Valentino Rossi เคยเกือบจะไม่ได้เลือกใช้ตัวแข่งของ Ducati แบบที่เห็นในปัจจุบัน เนื่องจากในช่วงก่อตั้งทีม Uccio Salucci ผู้จัดการของเขาเคยสนใจที่จะเลือกใช้รถของค่ายคนบ้า Suzuki กันมาก่อน Uccio Salucci มือขวาของ Valentino Rossi ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับช่วงก่อตั้งทีมตอนแรกกับสื่อว่า “ในตอนเริ่มต้น Vale เตือนผมว่า MotoGP เป็นการแข่งขันที่ยาก มันไม่เหมือนกับใน Moto2 ที่เราประสบความสำเร็จ” เขากล่าว “ตอนนั้นผมบอกกับเขาว่าผมสบายใจที่จะอยู่ใน MotoGP มากกว่า เพราะผมทำงานกับเขาในรุ่นนั้นมาตลอด แถมยังเป็นทีมโรงงานด้วย Moto2 เลยดูเป็นของใหม่สำหรับผม” “สุดท้าย Vale ก็ให้งานผมในการทำทีมแข่งในรุ่นใหญ่ ในตอนแรกผมต้องการทำงานกับ Suzuki แต่ตอนนั้นพวกเขาก็ไม่คิดจะทำทีมรอง แถมต่อมายังถอนตัวออกไปจากการแข่งอีก ทางด้านของ Yamaha ก็มีทีมรองอย่าง Petronas SRT เราเลยไม่อยากไปยุ่งกับเขาเพิ่ม” “ในตอนที่ผมไปคุยกับ…
Honda CB1000 BIG-1 รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตเรโทรรุ่นใหม่จากค่ายปีกนก Honda ที่มีข่าวลือให้เราได้เห็นกันมาบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งในตอนแรกหลายฝ่ายก็เชื่อว่ามันจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวตายตัวแทนให้กับ CB1000R รถไฟกลมคลาสใหญ่รุ่นปัจจุบันที่ใช้งานออกแบบสไตล์ Neo-Sport Cafe แต่หลังจากที่มีการเปิดตัวรถต้นแบบ CB1000 Hornet ที่ใช้งานออกแบบแนวร่วมสมัย ก็ดูเหมือนว่าทางค่ายไม่ต้องการรถที่เป็นข่าวลือนี้อีกแล้ว แต่จากข้อมูลล่าสุดที่เราได้รับมาจากนิตยสารชื่อดังของญี่ปุ่น ก็ดูเหมือนว่า CB1000 BIG-1 จะยังคงถูกพัฒนาอยู่ โดยมันจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับ CB1000 Hornet สปอร์ตเปลือยรุ่นท็อปที่เผยโฉมร่างต้นแบบไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชุดเฟรมแบบเดียวกันหรือเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ที่ให้พละกำลังสูงสุดทะลุ 150 แรงม้า ก็มีข้อมูลว่าจะถูกยกมาใช้งานทั้งหมด จากรถรุ่นเดิมอย่าง CB1000R ที่เป็นรถลูกผสมงานซึ่งรวมออกแบบที่ทันสมัยกับเส้นสายแบบย้อนยุค ในรถรุ่นใหม่นี้ทางค่ายปีกนกดูเหมือนจะพยายามแยกแนวทางทันสมัยของ Hornet ออกจาก BIG-1 อย่างชัดเจน แต่ขณะเดียวกันข้อมูลจากญี่ปุ่นก็ระบุว่า CB1000 BIG-1 นั้นจะเป็นโมเดลที่ใช้จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ต่างกับเจ้าต่อยักษ์ที่จะวางขายในวงกว้าง โดยเป้าหมายที่แท้จริงของรถไฟกลมรุ่นใหม่นี้คือการมาแทนที่รถในตำนานตระกูล CB1300 ที่จะถูกยกเลิกการจำหน่ายในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากเทคโนโลยีของ CB1300…
ในการแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2024 ที่กำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่นาน Gresini ทีมรองขนาดเล็กกลับมาพร้อม Dream Team ที่หลายคนไม่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งของคู่พี่น้อง Marquez แน่นอนว่าด้วยตัวรถแข่ง Ducati GP23 ที่เป็นรถเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกฤดูกาลล่าสุด ทำให้สองพี่น้องคู่นี้มีลุ้นสามารถขึ้นมาสู้ในระดับหัวแถว เพื่อชิงแชมป์ในระดับสนามได้ ทางนักข่าวก็ได้มีการถาม Marc Marquez ว่าเขาจะยอมเสี่ยงแซง Alex Marquez เพื่อคว้าชัยชนะหรือไม่ ถ้าหากมีความเป็นไปได้ว่าอาจทำให้ทั้งคู่ต้องล้มและไม่จบการแข่งขัน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้พูดแบบติดตลกว่า “ในปีที่แล้วผมยอมเสี่ยงเพื่อที่จะจบในอันดับ 7 เรื่องแบบนี้มันเป็นสัญชาตญาณ แต่ถ้าจะให้พูดคือผมขอเลือกที่จะไปขอโทษทีหลัง แทนที่จะไปขออนุญาตก่อนจะทำ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นน้องของผมเอง” ทางด้านน้องชายอย่าง Alex Marquez ก็ได้แหย่ว่า “แต่ผมใหญ่สุดในทีมนะ” นักแข่งคนพี่จึงเสริมเข้ามาว่า “ตอนที่ผมเข้าทีมนี้ ผมคุยกับผู้จัดการทีมว่าผมขออยู่ฝั่งขวาของพิต เพราะตลอดอาชีพของผม ผมจะอยู่ฝั่งขวาของพิตตลอด แต่ผู้จัดการไม่ยอมให้เปลี่ยนเพราะน้องผมไม่ยอม” นอกจากนี้เขายังได้อธิบายความรู้สึกของการย้ายค่ายไว้ว่า “รถทุกคันมีความลับของตัวเอง มันสามารถไปได้เร็วมาก เพียงแต่ผู้ขี่จะต้องขี่มันในรูปแบบที่ถูกต้อง ผมทำงานกับ Honda มานาน…
ในตอนแรกที่ Marc Marquez ฉีกสัญญาเดิมกับ Honda เพื่อย้ายมาแข่งให้กับ Ducati Gresini ซึ่งเป็นทีมขนาดเล็กที่ไม่น่ามีเงินพอให้จ่ายค่าตัวของนักแข่งระดับนี้ หลายฝ่ายจึงคาดเดาว่าทางทีมแข่งจะได้รับผู้สนับสนุนเงินหนารายใหม่ ที่เป็นผู้สนับสนุนที่ติดตัวมากับนักแข่งคนใหม่นี้ด้วย แต่จนถึงเวลาเปิดตัวลายทีมแข่งสำหรับปีนี้ เรากลับไม่ได้เห็นผู้สนับสนุนใหม่อย่างที่คิดไว้ ซึ่งคนที่มาตอบคำถามนี้ก็คือ Carlo Merlini เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของทีม Gresini ที่เขาได้ให้ข้อมูลว่า “เราไม่ต้องการเสียตัวตนของเราไป เราไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงมากเกินไปเพียงเพราะ Marc ย้ายมาอยู่กับเรา เพราะถ้าเขาออกไปแล้วจะยังไงต่อ? เป้าหมายหลักของเราคือการรักษาผู้สนับสนุนปัจจุบัน และผู้สนับสนุนรายอื่นที่เพิ่งเข้ามาร่วมกับเรา ในภาพรวมเรามีความสุขกับผู้สนับสนุนที่มี สถานะทางการเงินของเราก็อยู่ในระดับที่มั่นคงดีมาก” “เมื่อเราสามารถหาบริษัทผู้สนับสนุนที่เหมาะสมกับทีมของเรา เราก็จะเลือกเขามาเป็นผู้สนับสนุนหลักของเรา” Merlini กล่าว “แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ในกรณีที่เราไม่สามารถหาผู้สนับสนุนหลักได้ ซึ่งผู้สนับสนุนหลักในทีมส่วนใหญ่มักจะเป็นรายได้ 60-70% ของรายได้ทั้งหมด และเติมที่เหลือด้วยผู้สนับสนุนที่ใหญ่รองลงมาสัก 2-3 ราย ทีมเราก็สามารถรับสปอร์นเซอรรายเล็กจำนวนมากได้เหมือนกัน” ที่มา ridertua อ่านข่าวสาร MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่
QJMotor ค่ายผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่จากประเทศจีน ที่เป็นผู้ถือครอง Benelli และ Keeway ที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นค่ายรถอีกรายที่กำลังขยายตลาดออกไปนอกประเทศบ้านเกิด และการที่จะเป็นค่ายรถแบบนั้นได้ก็จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีใหม่น่าสนใจมาดึงดูดลูกค้า ซึ่งภาพสิทธิบัตรล่าสุดของพวกเขาก็นับว่าแปลกตาเอาเรื่อง เพราะมันคือเครื่องยนต์แบบ V-Twin แต่ดันใช้งานจริงแค่สูบเดียว? หากเรามองแบบไม่ได้คิดอะไรไปที่ภาพของเครื่องยนต์ในสิทธิบัตรของ QJMotor เราอาจจะเห็นว่าเครื่องยนต์ลูกนี้ก็เป็นแค่เครื่องยนต์แบบ V-Twin ทั่วไป แต่ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าเสื้อสูบหลัง(ทางด้านซ้าย)ไม่มีทั้งฝาสูบ และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เหมือนเป็นแค่ลูกสูบเปล่าที่ขยับขึ้นลง แต่ไม่มีการสูบอากาศหรือจุดระเบิดแต่อย่างใด การสร้างพละกำลังจริงจะเกิดขึ้นแค่ในเสื้อสูบหน้า(ทางด้านขวา)เท่านั้น ซึ่งการมีอยู่ของลูกสูบหลังที่ว่านี้ก็มีไว้ใช้ในการถ่วงน้ำหนักเพื่อให้เครื่องยนต์สั่นน้อยลง เพราะเครื่องยนต์พื้นฐานเดิมที่เป็นเพียงเครื่องยนต์แบบ 1 สูบ ตามปกติที่มีข้อเสียเรื่องการสั่นที่มากกว่าเครื่องยนต์แบบอื่น การเพิ่มลูกสูบด้านหลังเข้ามาจำช่วยทำหน้าที่เป็น Balancer ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องยนต์ 2 สูบ V-Twin ที่มีความนิ่งมากกว่า และเพื่อลดแรงเสียดทานและชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ทางค่ายก็ได้ถอดฝาสูบและระบบวาล์ว รวมถึงระบบจุดระเบิดทุกอย่างออกไป ทำให้มันเป็นแค่ห้องเผาไหม้เปล่าที่ไม่มีการเผาไหม้ รวมถึงการลดเส้นผ่านศูนย์กลางของลูกสูบที่ว่า เพื่อลดพื้นผิวสัมผัสส่งผลให้สามารถลดแรงเสียดทานเพิ่มได้อีก นอกจากนี้ยังมีการเจาะรูที่ลูกสูบหลัง เพื่อให้อากาศสามารถไหลผ่านลูกสูบได้อย่างอิสระ ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องเสียกำลังไปกับการบีดอัดอากาศภายในเสื้อสูบหลัง โดยรวมแล้วลูกสูบหลังที่ว่านี้จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับ Balance Shaft ที่มาในรูปทรงที่แตกต่างจาก Balance Shaft…
