รีวิว Kawasaki Ninja H2 & H2 SX SE สัมผัส 2 คู่หูซุปเปอร์ชาร์จ จากค่ายเขียว สายบ้าพลัง กับทัวเร่อตัวแรง ณ สนามพีระฯ

0

เมื่อวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา ทางทีมงาน MotoRival เรามีนัดเดทควบสาวๆ ตัวแรง จากค่ายยักษ์เขียว Kawasaki โดยทาง Kawasaki Motors Enterprise ได้เชิญสื่อมวลชนสายรถจักรยานยนต์ร่วมทดสอบรถในกิจกรรม Supercharger Test Riding ณ สนามพีระเซอร์กิต พัทยา ซึ่งรถทั้งหมดจะประกอบไปด้วย Superbike ตัวเก่ง 2 รุ่น ZX-10R และ ZX-10R SE กับตระกูลซุปเปอร์ชาร์จอย่าง H2 และ H2 SX SE

Kawasaki-Ninja-H2-H2SX-SE_2
และในบทความนี้เราก็จะขอรีวิว Kawasaki Ninja H2 & H2 SX SE กันก่อน ซึ่ีงก่อนที่จะไปพูดถึงการทดสอบในสนาม เราจะขอมาอธิบายถึงจุดเด่นที่น่าสนใจของทั้งคู่กันก่อน

Kawasaki-H2-TIME2017-Coverโดยเริ่มจากฝั่งแฝดผู้พี่อย่าง H2 ที่เปิดตัวด้วยรูปโฉมของไฮเปอร์ไบค์ แฮนด์หมอบ, เบาะสูงตอนเดี่ยวที่ออกแบบมาเพื่อคนขับเพียงคนเดียว เฉกเช่น Sport Replica

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_18ในขณะที่ทางฝั่งของ H2 SX SE นั้นทาง Kawasaki ได้ปรับลักษณะท่านั่งใหม่ให้เป็นแบบหลังเกือบตรงเพื่อความสะดวกสบายสมกับลักษณะการใช้งานแนวทัวร์ริ่ง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ตรงเหมือนกับสปอร์ตทัวร์ริ่งจ๋าอย่าง Z1000SX (Ninja 1000) แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผู้ใช้ขับขี่มันได้นานมากพอสมกับความเป็นสปอร์ตทัวร์ริ่งไบค์ แน่นอนว่าในส่วนของเบาะนั่งคนซ้อนของ H2 SX SE ก็ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามาเรียบร้อยพร้อมกันนั้นยังมีบาร์จับซ้ายขวาไว้ให้ผู้ซ้อนได้จับทรงตัวไปกับผู้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ รวมถึงชุดไฟท้ายเองก็ยังปรับดีไซน์ใหม่ให้ผู้ร่วมทางสามารถสังเกตุได้ง่ายยิ่งขึ้น

2017-ninja-h2_3_1ด้านรูปโฉมภายนอกของทั้งสองคันนั้นก็ยังคงใช้จุดเด่นหลักๆประจำรุ่นร่วมกันอยู่เพื่อบ่งบอกความเป็น Ninja H2 นั่นก็คือชุดแฟริ่งหน้าที่มีโคมไฟโปรเจ็คเตอร์ขั้นกลางระหว่างช่องแรมแอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกต่อตรงไปยังตัวซุปเปอร์ชาร์จ อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ฝั่ง H2 SX SE นั้นมีการขัดเกลาสัดส่วนช่วงบนของแฟริ่งไปจนถึงวินชิลด์ให้สูงขึ้นความตัว H2 เพื่อลดกระแสลมที่จะปะทะตัวผู้ใช้ขณะขี่ ท่อไอเสียขนาดเล็กลง ซึ่งช่วยลด นน. ไปได้ร่วม 2 กก.

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_14นอกจากนี้ในส่วนของแฟริ่งด้านข้างนั้นทาง H2 SX SE ก็ยังได้รับการติดตั้งชุดแฟริ่งแบบปิดครอบทั้งคันตั้งแต่บนลงล่าง ซึ่งทาง Kawasaki ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่าที่ในโฉมสปอร์ตจ๋าคันนี้สามารถใช้แฟริ่งปิดลากยาวลงมาข้างล่างแบบนี้ได้นั้นก็เป็นเพราะว่าความร้อนที่เกิดจากเครื่องยนต์ต่ำกว่าของแฝดพี่ H2 และถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นได้ว่าในตัว SX SE นั้นมีชุดโคมไฟขนาดใหญ่ติดตั้งมาให้ทางด้านข้างทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา (LED Cornering Light) ซึ่งถูกติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถคาวาซากิ กับไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว ซึ่งจะค่อยๆสว่างขึ้นมาทีละดวงตามองศาการเอียงของตัวรถ

Kawasaki-Ninja-H2_2ระบบโครงสร้างหรือโครงหลักตัวรถนั้นเป็นแบบโครงเหล็กถักเหมือนกันทั้งคู่ โดยในฝั่งของ H2 จะเน้นให้มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงและมั่นคงพอที่จะกำหราบเครื่องยนต์ที่มีคาแรคเตอร์สุดดุดันให้อยู่หมัดให้ได้ ส่วนในฝั่งของ H2 SX SE จะถูกปรับเปลี่ยนองค์ประกอบนิดหน่อยเพื่อให้มันสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าเดิม เพราะนอกจากมันจะต้องรับน้ำหนักทั้งผู้ขี่และผู้ซ้อนแล้ว มันอาจจะต้องรับน้ำหนักกระเป๋าด้านข้างที่ถูกติดตั้งเพิ่มขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งทาง Kawasaki เคลมไว้ว่าจากการปรับปรุงดังกล่าวทำให้ตัวเฟรมของ H2 SX สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 195 กิโลกรัมเลยทีเดียว

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_15ขยับมาที่ชุดหน้าจอแสดงผลซึ่งในส่วนนี้ แต่เดิมสำหรับตัว H2 ก็ถือว่าแสดงผลได้ค่อนข้างครบถ้วนอยู่แล้ว เพราะมันสามารถแสดงได้ทั้ง ข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดที่ผู้ขับขี่ควรรู้ เช่นรอบเครื่องยนต์แบบเข็มกวาด ความเร็วเลขดิจิตอล ไปจนถึงสถานะการทำงานของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆที่มันมี ส่วนทางฝั่งแฝดน้อง H2 SX SE ก็ถือว่าบอกได้ครบถ้วนไม่แพ้กัน แต่อาจจะดีหน่อยตรงที่อิืนเตอร์เฟซต่างๆถูกปรับให้อ่านค่าได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่วนนึงต้องยกความดีความชอบให้กับชุดหน้าจอ TFT หลากสีที่ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามาแทนหน้าจอแบลคไลท์เดิมๆในแฝดผู้พี่

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_10กระเถิบมาอีกนิดก็จะเห็นชุดกันสะบัดจาก Ohlins ค่อนข้างชัดเจนในฝั่ง H2 ส่วนตัว H2 SX SE น่าจะถูกย้ายไปไว้ใต้แผงคอเผื่อความเรียบร้อย ส่วนระบบกันสะเทือนหน้าก็ยังคงใช้ฝาปิดโช้คสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ประจำค่ายเหมือนกันทั้งคู่ และแน่นอนว่ามันสามารถปรับเซ็ททุกค่าได้เหมือนกันหมด แม้กระทั้งตัวโช้คแก๊สด้านหลังก็มีมาให้คล้ายๆกัน แต่อาจจะมีรายละเอียดในเรื่องของการเซ็ทติ้งจากโรงงานต่างกันตามลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน โดยในฝั่ง H2 จะเน้นตอบสนองแบบตัวแข่งในสนาม แต่ในฝั่ง H2 SX SE จะเน้นไปที่ความนุ่มนวลเพื่อความผ่อนคลายในการขับขี่ และความเป็นสไตล์รถทัวเร่อ มันยังให้ขาตั้งคู่มาด้วย

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_02ด้านระบบเบรก อย่างที่เราทราบกันดีว่าฝั่ง H2 นั้นออกแบบมาเพื่อขับขี่ในสนามเป็นหลัก ดังนั้นทางค่ายจึงจัดเต็มด้วยชุดคาลิปเปอร์เบรกรุ่น M50 มาให้สำหรับระบบห้ามล้อด้านหน้า แต่ในขณะเดียวกันรนั้นในตัว H2 SX แม้ว่าจะไม่ใช่ของ Brembo แต้อย่างน้อยก็เป็นคาลิปเปอร์แบบโมโนบล็อค 4 พอร์ททำงานร่วมกับจานเบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร เช่นเดียวกัน

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_03ในส่วนของชุดล้อจะเห็นได้ว่าทาง Kawasaki ยังคงเลือกติดตั้งชุดล้อดีไซน์เดียวกันให้กับตัว H2 SX SE เหมือนกับแฝดพี่ H2 แต่ในส่วนของขนาดยางหลังนั้นอาจจะถูกบีบให้เล็กลงเล็กน้อยจากเบอร์ 200/55ZR-17 เป็น 190/55ZR-17 ส่วนไซส์ยางด้านหน้ายังคงเท่าเดิมคือ 120/70ZR17

Kawasaki-Ninja-H2-SX-SE_09มาถึงเรื่องของเครื่องยนต์กันบ้าง ทั้ง H2 และ H2 SX SE ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 998cc พ่วงระบบซุปเปอร์ชาร์จ โดยแรงม้าเดิมๆที่ติดรถมาตั้งแต่ออกโรงงานของH2 อยู่ที่ราว 200 แรงม้า (ในฝั่ง H2 อาจจะเพิ่มขึ้นไปที่ 207-210 แรงม้าเมื่อมีลมเป่าเข้าแรมแอร์มากๆ) แต่ H2 SX SE ในบ้านเราจะโดนตอนกำลังเหลือ 170 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดของฝั่ง H2 จะอยู่ที่ 132.8 นิวตันเมตร ส่วนตัว H2 SX จะสูงกว่าหน่อยคือ 136 นิวตันเมตร เพื่อความลื่นไหลในการรองรับกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

Kawasaki-Ninja-H2-SX_1เข้ามาในส่วนของการขี่ในสนามกันแล้ว เริ่มต้นเราได้ลองควบเจ้า H2 SX SE กันก่อน

PON_Ninja-H2-SX-SE_4ท่านั่ง H2 SX เรียกได้ว่าเป็นสปอร์ตทัวริ่ง อยู่กึ่งกลางระหว่าง ZX-14R และ Ninja 1000 คือ ขี่ไม่ต้องก้มหลังให้เมื่อยกันมากมาย ตำแหน่งวางเท้าก็ไม่ถึงกับต้องงอเข่าแบบรถ Supersport ให้เมื่อยนัก แต่ยังพอได้ท่าแบบรถสปอร์ตอยู่ ตำแหน่งวินชิลด์ค่อนข้างสูง ก้มหลังได้ไม่ต้องแนบชิดตัวถัง ลมก็จะพัดผ่านหมวกกันน็อคไปได้ง่าย

PON_Ninja-H2-SX-SE_3เบาะนั่งแบบ Comfort Seat สูง 835 มม. ถือว่าสูงพอสมควร แต่ตัวเบาะนั้นแบนราบนั่งสบายท้ายไม่เชิด ทำให้ผู้เขียนที่สูง 174 ซม. ยังเหยียบยืนได้เต็มเท้าขณะยืนคร่อมตัวรถ

PON_Ninja-H2-SX-SE_9แม้รถจะมีขนาดใหญ่โต และมีน้ำหนัก Curb ถึง 260 กก. แต่เมื่อขี่ออกตัวไปแล้ว มันควบคุมง่ายดาย สบาย การควบคุมรถในการเลี้ยวโค้งทำได้ง่ายกว่า Ninja 1000 (เลี้ยวโค้งไม่ค่อยไป) H2 SX SE เลี้ยวรถได้ง่ายตามการควบคุม ระบบกันสะเทือนนั้น เป็นแบบโช้กอัพปรับไฟฟ้าที่สามารถควบคุมปรับเซ็ทได้อัตโนมัติ อย่างไรก็ดี ด้วยตัวรถเป็นแบบ Tourer มันจะไม่แน่น เฟิร์มเหมือนอย่างตระกูล ZX-10R หรือ H2 ปกติ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการขี่เข้าโค้งในสนามพีระฯ ครั้งนี้นัก

PON_Ninja-H2-SX-SE_8เครื่องยนต์ 170 แรงม้า Supercharged มีพละกำลังเหลือเฟือ แรงและขี่ได้สนุกแม้ในสนามเช่นนี้ คันเร่งมาแบบลื่นๆ ไม่กระชากกระตุกในจังหวะที่เราเปิดคันเร่งออกแต่ละครั้ง ไม่หนักหน่วงเหมือน Superbike ตัวพันที่คันเร่งมาดิบกว่า แต่ H2 SX คันนี้ก็ดึงแรงแบบตึงมือ ถ้าไม่หนีบถังก็มีเสียวเป็นแน่

PON_Ninja-H2-SX-SE_7ตัวระบบ Quick Shift แบบ 2 Way ช่วยให้การใช้งานสะดวกสบายมากกว่า H2 ที่ Quick Shift เป็นแบบ Up ทางเดียว ดังนั้น เราสามารถใส่เกียร์ได้เลยที่รอบ 2,500rpm ขึ้นไป ช่วยให้การเดินคันเร่งส่งต่อกำลังทำได้อยากราบรื่น ขณะที่ต้องการลดเกียร์เพื่อทำ Engine Brake ก็ทำได้สะดวกคล่องแคล่ว เพียงเหยียบคันเกียร์ลงเลย ไม่ต้องกำคลัทช์ ถือว่าสะดวกและรวดเร็วมั่นใจ เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโค้ง

PON_Ninja-H2-SX-SE_1อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมองว่าแม้กำลังในตัวขายในบ้านเราจะถูกตอนม้าแล้วก็ตาม แต่อย่างไรมันก็ถือเป็น Sport Tourer ที่แรงที่สุดในคลาสแล้วล่ะ นอกจากนี้ตัวน้ำหนักของก้านคลัทช์ไฮโดรลิกนั้น ถือได้ว่าไม่หนักเกินไป บีบแล้วไม่เมื่อยนิ้ว เหมือนรถตัวแรงอย่าง H2

Pon-Ninja-H2SX-SEด้านซุ่มเสียงของเครื่องยนต์ ในจังหวะที่แล่นผ่านหน้า Pit แต่ละครั้งจะดังเหมือนลมพายุพัดผ่าน แต่เนื้อเสียงนั้นไม่ดังหนวกหูเท่าใดนัก และถ้าจะให้ชัดเบิ้ลเครื่องดูจังหวะจอด เสียงทุ้มๆ แต่จังหวะปิดคันเร่งจะได้ยินเสียง BOV คายออกมาวิ้วๆ เหมือนนกหวีด ฟังๆ ไปก็มันส์สนุกดีทีเดียว

PON_Ninja-H2-SX-SE_2สรุปคร่าวๆ H2 SX SE คันนี้ เรียกได้ว่า เป็นรถ Ninja รุ่นหนึ่งที่ขี่แล้วตกหลุมรักง่ายๆ ทั้งความสบายที่มอบให้ สามารถนั่งโดยสารไปไหนไกลๆ ได้ไม่เมื่อยนัก และลมปะทะต่ำ + ความสนุก และ แรงทรงพลัง เหนือชั้นกว่าทัวเร่อคันอื่นๆ + เทคโนโลยีแบบจัดเต็มยิ่งกว่ารถยนต์

ในราคา 1.09 ล้านบาท ได้รถ Sport Tourer ขั้นสุดแห่งยุคนี้ พร้อมหัวใจอัดอากาศก็ดูคุ้มนะ !

Pon-Ninja-H2_5ขี่ H2 SX SE เสร็จ ก็กระโดดสลับมาต่อกันที่ Ninja H2 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น Superbike ที่โหดดิบสุดแล้วที่ผู้เขียนได้เคยสัมผัสแล้วก็ว่าได้

Pon-Ninja-H2_2OK ลองคร่อมรถดู พบว่า H2 ที่เบาะสูง 825 มม. เตี้ยกว่า ตระกูล ZX-10R และ H2 SX ผู้เขียนยังเหยียบได้เต็มเท้าเช่นกัน แต่ก็ต้องนั่งคร่อมหลัง เมื่อยหน่อย และพักเท้าเยื้องไปข้างหลังใกล้เคียงกับ ZX-10R แต่รู้สึกว่า เจ้า H2 ตำแหน่งพักเท้าจะต่ำกว่า ZX และทำให้งอเข่าน้อยกว่าเล็กน้อย

Pon-Ninja-H2_1เอาล่ะ กลับมาเริ่มกำคลัทช์ ออกตัว โอวรู้สึกทันทีครับว่าน้ำหนักคลัทช์ มันชั่งหนักเอาเรื่องกว่า Superbike คันอื่นๆ เลย ท่านั่งก็ต้องกลับมาคร่อมหลังกันอีกครั้ง พร้อมละสตาร์ทลองเบิ้ลคันเร่งดูสักนิด รู้สึกทันทีเลยว่าเนื้อเสียงจากท่อไอเสียของ H2 มันดูดุดันกว่า H2 SX และเวลาแล่นผ่านหน้า Pit เสียงลมดังพายุที่พัดผ่านนั้น ดังฟู่ววววว ประมาณว่าคำรามดุและดิบกว่าเจ้า H2 SX อย่างดังชัดเจน

Pon-Ninja-H2_6มาเริ่มขี่กันเลย ผู้เขียนรู้สึกทันทีว่ามันเป็นรถที่ขี่แล้วเครียดมากพอสมควรเลย แม้กำลังระดับ 200 ม้าจะไล่ๆ กับ ZX-10R ที่ขี่มาก่อนหน้าในช่วงเช้า หรือ Superbike ตัวพันอย่าง RSV4 ที่เคยขี่ในสนามพีระฯนี้ด้วยเช่นกัน

Pon-Ninja-H2_1_1การเดินคันเร่งของ H2 จะต้องเดินคันเร่งให้ประณีตละเอียดที่สุด และถ้าคุณไม่เปิดระบบ KTRC เอาไว้แล้วด้วย นี่ ถ้าไปเผลอเปิดเดินคันเร่งในโค้งมากไปนิด อาจแพร่ดออกได้

Pon-Ninja-H2_2_1เมื่อเราเปิดคันเร่ง Ninja H2 แต่ละครั้งจะพบว่ามันสามารถรีดทอร์ค จากกำลังที่รอบบูสต์พุ่งออกมา ได้อย่างรุนแรงที่รอบเครื่องที่ไม่สูงนัก เมื่อขี่เจ้า H2 นี้ ผู้เขียนได้ใช้เกียร์ต่ำสุดที่ 3 ทั้งสนาม เนื่องจากตามที่บอกไปการเดินคันเร่งแต่ละครั้งต้องเนียน และคุมคันเร่งให้ดีไม่มันพุ่งพรวดพราด ช่วงวิ่งผ่านทางตรงยาวหน้า Pit เราต้องหนีบศอก ก้มหัว เข่าหนีบถังให้แน่น เมื่อเปิดคันเร่งผ่านรอบเครื่องที่ 8,000rpm + ขึ้นไป รู้สึกปวดคอนิดๆจากแรงดึงที่หนักหน่วง จึงเตะเกียร์ขึ้นด้วยระบบ Quick Shift เปิดคันเร่งต่อไปอีกได้ไม่นาน ราวกับจรวดตอปิโดพุ่งทิ้งดิ่งลงเนิน ซึ่งผ่านหน้า Pit แล้วเราก็ต้องจัดการเบรกอย่างหนักจากความเร็วกว่า 200 กม./ชม.+ พร้อมตบเกียร์ลง ให้ลงมาอยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ 3 มองไลน์เข้า Apex ก่อนเดินคันเร่งออกไปปลายโค้งให้สมูทที่สุดเท่าที่จะทำได้

Pon-Ninja-H2_4H2 นั้นแม้จะขนาดตัวยาวและดูใหญ่กว่า Superbike คันอื่นๆ ซึ่งเราขี่รอบแรกๆ แอบเกร็ง แต่ไม่นานนัก เราก็พบว่าการขี่ควบคุมเจ้า H2 เพื่อเข้าโค้งมันไม่ได้ดูอุ้ยอ้าย เลยแม้มันจะหนักถึง 238 กก. ก็ตาม การเข้าโค้งไม่ได้ยากเย็นเหมือนอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก มันดูเข้าโค้งได้นิ่งและเฉียบคม ให้ความมั่นคงและมี Grip ที่ดีจากตัวยางหลังไซส์ 200 มม. แต่อย่างไรก็ดีในจังหวะที่พลิกรถในโค้ง S สนามพีระฯ นี้ อาจจะรู้สึกว่ามันไม่พริ้วเท่า ZX-10R ที่มีน้ำหนักเบา และขนาดตัวเล็กกว่านัก

Kawasaki-Ninja-H2_1สรุปแล้ว Kawasaki Ninja H2 คันนี้ ถือเป็น Superbike ที่ดิบมากที่สุดคันหนึ่งที่ได้เคยสัมผัสมา น่าจะสะใจพวกบ้าพละกำลัง สายฮาร์ดคอร์ได้สบายๆ รวมไปถึงค่าตัวที่ดูจะรุนแรงและโหดไม่แพ้พละกำลังของมันเลยที่ 1.58 ล้านบาท แต่ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่สะใจพอคงต้องไปจัด H2R กำลังระดับ 300 ม้า แล้วล่ะ (Kawasaki ไมได้นำเข้ามาจำหน่ายในไทย และไม่สามารถจดทะเบียนได้ เพราะเป็นรถสำหรับขี่ในสนามเท่านั้น)

สำหรับ Ninja ZX-10R และ ZX-10R SE เราจะขอมารีวิวต่อในครั้งหน้าครับ

Kawasaki-Ninja-H2-H2SX-SE_1
ขอขอบคุณ Kawasaki Motors Enterprise สำหรับกิจกรรม Supercharger Test Riding ณ สนามพีระเซอร์กิต ให้เราได้เดทกับสาวๆ Supercharged ในวันวาเลนไทน์ครั้งนี้ครับ
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver

อ่าน รีวิว อื่นๆเพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่

เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ

Share.

About Author

error: Content is protected !!